วันพฤหัสบดีที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

ความดี ความชั่ว หรือบุญ บาป เป็นของสากล

 


 

 พุทธ คริส อิสลาม ต่างก็เป็นพี่น้องกัน บุญเป็นของสากล ไม่ใช่ของพุทธ คริส อิสลาม ใครทำบุญ บุญก็เป็นของคนนั้น ทำเวลาไหนก็เป็นบุญเวลานั้น ไม่จำกัดกาลเวลา เป็น อกาลิโก 



ความมีน้ำใจต่อกัน ใครทำก็น่ารัก ไม่ว่า มนุษย์หรือสัตว์ อย่างเช่น สามเณร ๒ รูปนี้ หรือเจ้าเหมียว ๒ ตัวนี้ก็น่ารัก  

ปัญหาทุกอย่างจะค่อย ๆ จางหายไป ถ้ามนุษย์มีความรัก ความเมตตา ต่อกัน ให้อภัยแก่กันและกัน  






จุดอ่อนของคนไทย ๑๐ ประการ โดย วิกรม กรมดิษฐ์

สรุป จุดอ่อน ๑๐ ประการของคนไทย คือ 

๑. คนไทยรู้จักหน้าที่ตัวเองต่ำมาก 
โดยเฉพาะหน้าที่ต่อสังคม  เป็นประเภทมือใครยาวสาวได้สาวเอา เกิดธุรกิจการเมือง ธุรกิจราชการ ธุรกิจการศึกษา ทำให้ประเทศชาติล้าหลังไปเรื่อย ๆ 

๒. การศึกษายังไม่ทันสมัย  
คนไทยเก่งแต่ภาษาของตัวเอง ทำให้ขาดโอกาสในการแข่งขันกับต่างชาติในเวทีต่าง ๆ ไม่กล้าแสดงออก  ขี้อายไม่มั่นใจในตัวเอง เราจึงตามหลังชาติอื่น จะเห็นว่าคนมีฐานะจะส่งลูกไปเรียนเมืองนอก เพื่อโอกาสที่ดีกว่า

๓. มองอนาคตไม่เป็น  
คนไทยมากกว่า ๗๐% ทำงานแบบไร้อนาคตทำแบบวันต่อวัน  แก้ปัญหาเฉพาะหน้า  น้อยคนนักที่จะทำงานแบบเป็นระบบ  เป็นขั้นเป็นตอน  มีเป้าหมายในอนาคตที่ชัดเจน

๔. ไม่จริงจังในความรับผิดชอบต่อหน้าที่  
ทำแบบผักชีโรยหน้าหรือทำด้วยความเกรงใจ ต่างกับคนญี่ปุ่นหรือยุโรปที่จะให้ความสำคัญกับสัญญาหรือข้อตกลงอย่างเคร่งครัด เพราะหมายถึงความเชื่อถือในระยะยาว ปัจจุบันคนไทยถูกดิ๊ตเครดิตความน่าเชื่อถือด้านนี้ลงเรื่อย ๆ 

๕. การกระจายความเจริญยังไม่เต็มที่  
ประชากรประมาณ ๖๐-๗๐% ที่อยู่ห่างไกลจะขาดโอกาสในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของตัวเองและชุมชนซึ่งเป็นหน้าที่ของภาครัฐที่ต้องส่งเสริม

๖. การบังคับกฏหมายไม่เข้มแข็ง  
และดำเนินการไม่ต่อเนื่อง  ทำงานแบบลูบหน้าปะจมูก  ปราบปรามไม่จริงจังการดำเนินการตามกฏหมายกับผู้มีอำนาจหรือบริวารจะทำแบบเอาตัวรอดไปก่อนไม่มีมาตรฐาน  ต่างกับประเทศที่เจริญแล้ว  ข้อนี้  กระบวนการยุติธรรมจะต้องปรับปรุง

๗. อิจฉาตาร้อน  
สังคมไทยไม่ค่อยเป็นสุภาพบุรุษเลี่ยงเป็นศรีธนญชัยยกย่องคนมีอำนาจ  มีเงินโดยไม่สนใจภูมิหลัง  โดยเฉพาะคนที่ล้มบนฟูกแล้วไปเกาะผู้มีอำนาจ  เอาตัวรอดคนพวกนี้ร้ายยิ่งกว่าผู้ก่อการร้าย  ดีแต่พูด  มือไม่พายเอาเท้าราน้ำ ทำให้คนดีไม่กล้าเข้ามาเพราะกลัวเปลืองตัว

๘. เอ็นจีโอค้านลูกเดียว  
เอ็น จีโอ  บางกลุ่มอิงอยู่กับผลประโยชน์เอ็นจิโอดี ๆ ก็มี  แต่บ้านเรามีน้อยบ่อยครั้งที่ประเทศเราเสียโอกาสอย่างมหาศาลเพราะการค้านหัวชนฝาเหตุผลจริง ๆ ไม่ได้พูดกัน 

๙. ยังไม่พร้อมในเวทีโลก  
การสร้างความน่าเชื่อถือในเวทีการค้าระดับโลกของเรายังขาดทักษะและทีมเวิร์คทำให้สู้ประเทศเล็ก ๆ อย่างสิงคโปร์ไม่ได้

๑๐. เลี้ยงลูกไม่เป็น  
ปัจจุบัน  เด็กไทยขาดความอดทน  ไม่มีภูมิคุ้มกันเป็นขี้โรคทางจิตใจ  ไม่เข้มแข็งเพราะเราเลี้ยงลูกแบบไข่ในหิน  ไม่สอนให้ลูกช่วยตัวเอง  ต่างกับชาติที่เจริญแล้วเขาจะกระตือรือร้นช่วยตนเองขวนขวาย  แสวงหา  ค้นหาตัวเองและเขาจะสอนให้สำนึกรับผิดชอบต่อสังคม


วันจันทร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

ประมวลภาพงานสัมมนารับฟังสาธารณดุษฎีนิพนธ์ ครั้งที่ ๔ /๒๕๕๕ ๑๙ กุมภาพันธ์



ที่เห็นกำลังนำเสนออยู่นี้คือ นายสุเมธ โสฬส (เสื้อขาว) นำเสนอเรื่อง "การศึกษาเครื่องมือจำแนกจริตที่เหมาะสมในการเจริญสติปัฏฐาน"  



ผู้เข้ารับฟังค่อนข้างหลอมแหลม ช่วงต้น ๆ มี ๒ สาเหตุหลัก ๆ ที่ทำให้มีผู้รับฟังน้อย คือ วันนี้เป็นอาทิตย์ ทางโรงเรียนพุทธศาสนาวันอาทิตย์ ของ มจร. ก็เปิดเรียนตามปกติ ทำให้ไม่มีที่จอดรถ และเป็นวันหยุดด้วย หลายคนก็ให้เวลาแก่ครอบครัว 

พระมหาอุดร สิทฺธิญาโณ เพื่อน รุ่น ๕ ไปให้กำลังใจ 
วันนี้เพื่อนพระรุ่น ๕ เหลืออยู่ ๓ รูป ที่เหลืออีก ๓ รูป ติดกิจพระศาสนาที่ต่างจังหวัด 


อาจารย์ ดร. วีรชาติ  นิ่มอนงค์  จากมหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ หรือ เอแบค กำลังวิจารณ์ วิทยานิพนธ์ของผู้เขียน  เรื่อง รูปแบบการพัฒนาสังขารเพื่อการพัฒนาปัญญาในพระพุทธศาสนาเถรวาท
ท่านได้ให้แนวทางที่เป็นประโยชน์พอสมควร



ดร. อำนาจ ยอดทอง ป.เอก รุ่น ๔ เพิ่งจบไป ปัจจุบันเป็นอาจารย์ประจำอยู่ที่ศูนย์จิตตปัญญาศึกษา มหาวิทยาลัยมหิดล และ ดร. ดวงกมล  ทองคณารักษ์  ป.เอก ภาคภาษาอังกฤษ  มาเป็นพิธีกร  ดำเนินการสัมมนาในวันนี้



นิสิตฆราวาสที่เข้าร่วมรับฟังและแสดงความคิดเห็น  ที่กำลังแสดงความคิดเห็นอยู่คือ ผศ. เสริมศิริ หรือพี่แดง แนะนำวิทยานิพนธ์ของผู้เขียนในส่วนที่เป็นการสังเคราะห์ให้เหมาะกับสังคมไทย ว่า น่าจะตัดออกเอาเฉพาะที่เป็นชาวพุทธก็พอ และถ้าตัดหัวข้ออกได้ก็อยากให้ตัดเพราะเรื่องลักษณะนี้ มหาวิทยาลัยข้างนอกเขาทำกันเยอะอยู่แล้ว


ดร.​แม่ชีกฤษณา  รักษาโฉม  อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย และเคยเป็นเพื่อนร่วมรุ่น ป.โท ของผู้เขียนด้วย เสนอความคิดเห็นเกี่ยวกับสังขาร ที่จะพัฒนา ว่า ควรจะนำมาพัฒนามากกว่านี้ เช่น ปัญหาคอรับชั่น จะพัฒนาสังขารหมวด วิรตีเจตสิก อย่างเดียวไม่พอ 
ผู้วิจัยยังไม่ได้ตอบคำถาม อาจารย์ ผศ. ดร. รท. บรรจบ  บรรณรุจิ ผู้วิจารณ์ก็มาถึงพอดี 
แต่ถ้าจะตอบ  วิรตีเจตสิก ก็คือ ศีล นั่นเอง ถ้าทุกคนมีศีล รักษาศีลอย่างเคร่งครัดแล้ว รับรองว่า ปัญหาต่าง ๆ จะลดลงไปมาก



วันนี้โยมวรรษก็เข้าร่วมรับฟังด้วย (นั่งสุดท้าย สะพายกระเป๋า) ส่วนน้องแชมป์กำลังจดบ้นทึก อย่างจริงจัง  นิสิตหญิง (เสื้อขาว) แสดงความเห็นว่า พอเห็นชื่อเรื่องแล้วสนใจอยากมาฟังว่าจะเป็นอย่าง พอเห็นวัตถุประสงค์ และคำตอบวัตถุประสงค์ ข้อที่ ๑ และ ๒ ก็ยังน่าสนใจอยู่  พอเห็นคำตอบข้อที่ ๓ ตอนสังเคราะห์เพื่อประยุกต์ใช้ให้เหมาะกับสังคมไทย เลยใจห่อเลย ว่างั้น ความคาดหวังไว้ คือ อยากเห็นว่า จะพัฒนาสังขารเพื่อพัฒนาปัญญาไปสู่การบรรลุธรรมได้อย่างไร
ผู้วิจัยก็จนใจแหละที่ไม่สามารถทำตามที่คาดหวังไว้ได้ เพราะขอบเขตของการวิจัยไม่ได้ว่าเอาไว้ 

 


วันศุกร์ที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

ประมวลภาพงานวางศิลาฤกษ์ฐานพระประธานประจำลานธรรม ๒ (๑๕ ก.พ.​ ๕๕)


ภาพที่เห็นเป็นจุดศูนย์กลางที่จะก่อฐานพระประธานประจำลานธรรม พระพุทธตรีโลกนาถ ถิรโรจน์กุลวิลาสสง่าชาติอุปถัมภ์ ขนาดหน้าตักกว้าง ๗๙ นิ้ว






ก่อนเริ่มพิธีวางศิลาฤกษ์ ได้กราบอาราธนาพระสงฆ์ ๙ รูป จากวัดต่าง ๆ ในเขตใกล้เคียงมาเจริญพระพุทธมนต์ก่อน มีหลวงพ่อพระครูอนุศาสน์วรกิจ เจ้าอาวาสวัดโพนงาม  เจ้าคณะตำบลโพนงาม เป็นประธานสงฆ์ 
ในภาพท่านกำลังทำพิธีเจิมไม้มงคล อิฐเงิน อิฐทอง เพื่อนำไปวางในหลุม 



เมื่อได้เวลาอันเป็นมงคลแล้วก็ทำพิธีวางศิลาฤกษ์ เชิญประธานอุปถัมภ์ให้เกียรติวางก่อน คือโยมวรรษ ศุภกร ถิรโรจน์กุล คุณยายราตรี สง่าชาติ โยมน้ำ นางสาวทักษภร สง่าชาติ  ตามลำดับ  จากนั้นก็ให้ญาติโยมชาวบ้าน พากันนำเอาแผ่นทองที่เขียนชื่อ นามสกุล ของตัวเองแล้วมาวางลงในหลุม เพื่อใช้หล่อองค์พระในวันที่ ๑๕ เมษายน ๒๕๕๕ ต่อไป






โยมวรรษและโยมน้ำ ประธานอุปถัมภ์ ทั้งสองก็ดูผิวพรรณผ่องใสมากขณะประกอบพิธีวางศิลาฤกษ์ฐานพระประธาน แสดงให้เห็นว่า อานุภาพของ ทานบารมี แผ่รัศมีออกมาปรากฏให้เห็นเป็นรูปธรรม ในการได้เป็นเจ้าภาพสร้างองค์พระครั้งนี้




เมื่อเสร็จพิธีแล้วก็ถวายเครื่องไทยธรรม และรับพร เป็นเสร็จพิธีวางศิลาฤกษ์ฐานพระประธานในครั้งนี้ 

บรรยากาศเป็นไปอย่างเรียบง่าย สงบ ร่มเย็น 





ประมวลภาพงานวางศิลาฤกษ์ฐานพระประธานประจำลานธรรม ๑ (๑๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕)





ตอน เช้าเริ่มงาน เปิดโอกาสให้ญาติโยมได้ร่วมเป็นเจ้าภาพแผ่นทองเหลืองสำหรับหล่อองค์พระ ประธาน ตามกำลังศรัทธา ญาติโยมให้ความสนใจมาก พากันร่วมบริจาคกัน ในแผ่นทองด้านหนึ่งจารึกพระพุทธมนต์ไว้เพื่อความศักดิ์สิทธิ์ขององค์พระ ด้านหนึ่งว่างไว้ ให้ญาติโยมได้เขียนชื่อ นามสกุล ตลอดจนคำอธิษฐานต่าง ๆ ลงไป เพื่อเป็นสิริมงคลแก่ชีวิต 







พอได้แผ่นทองแล้วก็พากันมาเขียนชื่อ นามสกุล และคำอธิษฐาน ต่าง ๆ ตามอัธยาศัย ดูแต่ละคนก็มีความสุขกันถ้วนหน้า เพราะนาน ๆ ครั้ง จะมีโอกาสได้ร่วมสร้างองค์พระสักครั้งหนึ่ง บางคนเกิดมาจนใกล้จะกลับบ้านเก่าแล้วยังไม่เคยได้ร่วมพิธีเททองหล่อพระเลย ว่างั้น



งาน ครั้งนี้ไม่ได้บอกข่าวญาติโยมบ้าน ใกล้ชิดติดกัน เป็นการทำภายในเน้นความเรียบง่าย แต่แฝงไปด้วยความสงบ ร่มเย็น และความสามัคคีของหมู่ คณะ ถึงขนาดนั้นก็ยังมีญาติโยมและพระภิกษุร่วมบริจาค เป็นจำนวนมาก  คาดว่า วันทำพิธีเททองหล่อจริงคงจะมีญาติโยมมาร่วมมากกว่านี้หลายเท่า 





หลวงปู่แก้ว (รูปแรก) ร่วมบริจาคสร้างองค์พระครั้งนี่ เป็นเงินจำนวน ๑๐,๐๐๐ บาท (หนึ่งหมื่นบาทถ้วน) ท่านบอกว่าไม่เคยทำบุญสร้างพระมาก่อน เคยแต่สร้างกุฏิ วิหาร ขออนุโมทนาบุญกับหลวงปู่






เมื่อเสร็จพิธีวางศิลาฤกษ์ฐานพระประธานแล้ว ญาติโยมก็พากันรับประทานอาหาร ตามอัธยาศัย ซึ่งอาหารส่วนมากก็เป็นของญาติโยมพากันนำมา คนละเล็กละน้อยตามกำลังศรัทธา มีบางคณะก็มาตั้งโรงทาน ก๋วยเตี๋ยวด้วย เพราะเชื่อว่า การตั้งโรงทานมีผลอานิสงส์ยิ่งใหญ่ ก็ขออนุโมทนากับญาติโยมด้วย

อีกมุมหนึ่งในภาพคือ ยายราตรี กับโยมศุภกร แม่ยายกับลูกเขย ต้องมานั่งทานเป็นการเฉพาะ เพราะว่า ทั้งสอง ทานอาหารมังสวิรัติ ส่วนชาวบ้านทานได้ทุกอย่าง ยิ่งมีมังสะ (เนื้อ) มาก ๆ ยิ่งดี





วันนั้นเป็นวันพระแรม ๘ ค่ำ เดือน ๓ จึงมีญาติโยมบางส่วนสมาทานศีลอุโบสถด้วย ตอนเย็นจึงพากันขึ้นมาทำวัตร สวดมนต์บนศาลาโบสถ์ หลังจากที่พากันทำวัตรเย็นที่ปะรำพิธี มาหนึ่งคืนแล้ว  อุโบสถนี้มี อุบาสกอยู่สองคน คือ พ่อประเสริฐ เพชรด่านเหนือ และพ่อประพจน์  ภูศักดิ์ 
เป็นเรื่องปกติธรรมดา ที่งานปฏิบัติธรรมมีผู้ชายน้อยกว่าผู้หญิง เหตุนี้เองจึงทำให้เทพบุตรในสวรรค์ แต่ละองค์มีนางฟ้าเป็นบริวารเป็นพันเป็นหมื่นองค์ เพราะผู้ที่จะไปเกิดเป็นเทพบุตรหายากจริง ๆ