วันอังคารที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2554

ประมวลภาพที่พิษณุโลก

 พระพุทธชินราช อยู่ในวิหารวัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร หรือที่ชาวพิษณุโลกเรียกว่า "วัดใหญ่" เป็นพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองพิษณุโลก 
ไปครั้งนี้ได้ไปกราบหลวงพ่อถึง ๓ ครั้ง เพราะไม่อิ่มในความงดงามของหลวงพ่อ กราบแล้ว สวดมนต์ นั่งสมาธิอยู่หน้าองค์หลวงพ่อ ทำให้จิตใจเกิดปีติ




 ถือโอกาสขออนุญาตถ่ายภาพหน้าองค์หลวงพ่อไว้เพื่อเป็นสิริมงคล


ท้าวเวสสุวรรณ หนึ่งในท้าวจตุโลกบาลทั้ง ๔ ที่มีความเลื่อมใสพระพุทธเจ้า มีไม้ตะบองหรือไม้พองเป็นอาวุธ นั่งเฝ้ารักษาความปลอดภัยให้แก่พระพุทธเจ้า ตามคัมภีร์เล่าว่า ท้าวเวสสุวรรณกราบทูลพระพุทธเจ้าว่า ถ้าพวกยักษ์หรือพวกอมนุษย์ทั้งหลายมารบกวนพระพุทธองค์และพระสาวกทั้งหลาย ให้เอ่ยชื่อของท้าวเวสสุวรรณ แล้วพวกยักษ์และพวกอมนุษย์เหล่านั้นก็จะไม่มารบกวน 




คาถาบูชาพระพุทธชินราช




พระพุทธรูปยืนอยู่ที่วิหารหลังเดิมภายในวัดใหญ่ ด้านหลังวิหารพระพุทธชินราช หันหน้าไปทางทิศตะวันออก เป็นศิลปะสมัยสุโขทัย (พระพุทธชินราช หันหน้าไปทางทิศตะวันตก  ทางแม่น้ำน่าน)



หลังจากได้ไหว้พระ เอาฤกษ์เอาชัยแล้ว วันต่อมาโยมน้ำและโยมพร (เตียง) เจ้าของบ้านที่ให้อนุญาตให้พักเขียนงานวิจัย เจ้าตัวเป็นเถ้าแก่บริษัท แอล. พี. L.P. ขนส่ง นิมนต์ไปฉันเพลที่แพริมแม่น้ำน่าน 



ภาพกำแพงวัดที่เห็น คือกำแพงวัดจันทร์ตะวันตก ทราบว่าใช้ทุนสร้างมากกว่าร้อยล้านบาท เป็นบุญบารมีของเจ้าอาวาส คือพระอาจารย์อุบาลี อตุโล  ผู้ทรงสมาบัติ ซึ่งก่อนที่จะกลับได้แวะไปสนทนาธรรมกับท่าน ท่านเล่าให้ฟังว่า จะเข้าสมาบัติทุกปี ๆ ละครั้ง ๆ ละ ๙ วัน พอถึงวันออกจากสมาบัติ จะมีญาติโยมมานั่งรอใส่บาตรเป็นจำนวนมาก บางปีมีญาติโยมมาเป็น พันคน 


ภาพเรือนแพฝั่งตรงข้ามอีกมุมหนึ่ง ปีนี้น้ำท่วมหนักเมื่อน้ำลดแล้วยังเห็นรอยหลงเหลืออยู่ทำให้สองฝั่งของแม่น้ำน่านไม่ค่อยสวยงามเท่าที่ควร
วันรุ่งขึ้นไปเยี่ยมบ้านเดิมโยมน้ำที่คลองมะเกลือ อำเภอพรหมภิราม บ้านหลังนี้ ถูกปล่อยร้างไว้ประมาณ ๒๐ ปีเศษแล้ว เพราะโยมน้ำ พาพ่อ แม่ และน้อง ๆ ลงมาอยู่ที่กรุงเทพฯ หมด แต่สภาพบ้านยังดีอยู่  จากคำบอกเล่าของญาติพี่น้องของคุณตาเกิด พ่อโยมน้ำ บอกว่า เมื่อเกือบ ๕๐ ปีก่อน บ้านหลังนี้ถือว่าทันสมัยกว่าบ้านหลังอื่น เป็นสัญลักษณ์บอกว่า เจ้าของบ้านมีฐานะดีกว่าคนอื่นในหมู่บ้าน 
บรรดาญาติพี่น้องของโยมน้ำ คนแรก เป็นน้องสาวติดกันของตาเกิด คนใส่แว่นนั่งติดกับโยมน้ำเป็นน้องคนเล็กของตาเกิด ชื่อว่า เพียร



บรรยากาศของญาติพี่น้องที่มาร่วมกินข้าวด้วยกัน เพราะนาน ๆ จะได้เจอกันสักครั้งหนึ่ง ทุกคนดูมีความสุขมาก












 ทุ่งน่าฝั่งตรงข้ามกับบ้านโยมน้ำ ซึ่งถัดมาเป็นที่นาของยายราตรี และตาเกิด ยังไม่ได้ขาย เก็บไว้ให้ลูกสาว 



 ตอนเย็นหลังจากกลับจากคลองมะเกลือแล้ว จ่าเหน่ กับโยมนา ภรรยา และน้องปุ๋ย น้องสาว และไปเยี่ยมที่บ้านพัก (บ้านโยมพร) ทั้ง ๓ คน เป็นญาติธรรมเคยปฏิบัติธรรมที่สำนักพระอาจารย์สายฝน ที่อำเภอบางมูลนาก จังหวัดพิจิตร มาด้วยกัน โดยเฉพาะทิดเหน่ เคยไปธุดงค์ ลงถ้ำ ขึ้นเขาด้วยกัน ปัจจุบันย้ายมาประจำการที่ค่ายพระบรมไตรโลกนาถ พิษณุโลก ส่วน น้องปุ๋ย เป็นผู้ช่วยพยาบาลอยู่ที่โรงพยาบาลรัตนเวช ๒ 




วันรุ่งขึ้นโยมเอส ลูกชายของโยมเพียร น้องสาวคนเล็กของตาเกิด พาไปเที่ยวชมสถานที่สำคัญในพิษณุโลก ที่เห็นเป็นป้ายแยกอินโดจีน เล่ากันว่า ตรงนี้เป็นศูนย์กลางของอินโดจีน 




พระเจ้าแม่กวนอิม อยู่บนภูเขา ใกล้กับค่ายพระบรมไตรโลกนาถ เป็นวัดไทยพุทธ มีพระสงฆ์ดูแล  แต่เน้นเรื่องพระแม่กวนอิม ถือว่าผสมผสานระหว่าง เถรวาทกับมหายานเข้าด้วยกัน เพื่อให้พี่น้องชาวพุทธทั้งเถราวาทและมหายานได้บำเพ็ญบุญอย่างทั่วถึง ไม่ต้องข้ามน้ำข้ามทะเลไปถึงเมืองจีน


ระฆังขนาดใหญ่ อยู่ที่ตำหนัก มองลงไปเป็นทิวทัศน์ ทุ่งนาของชาวบ้าน


ออกจากวัดเจ้าแม่กวนอิมแล้ว ก็ไปที่โรงเจ ซึ่งอยู่ถัดกันไปอีกไม่ไกลนัก  ที่นี่จะเป็นสำนักหรือตำหนักใหญ่มาก มีเจ้าหน้าที่ทำอาหารเจ ไว้คอยต้อนรับนักท่องเที่ยวและผู้แสวงบุญตลอดทั้งวัน ไม่คิดราคาแล้วแต่จะบริจาค 





จ่าเหน่ แวะขึ้นไปเยี่ยมพวกเราบนโรงเจ ขณะพักเที่ยง เป็นทหารที่ชอบปฏิบัติธรรม โดยเฉพาะการสื่อสารกับเทวดา ชอบมาก 




หลังจากรับประทานอาหารเพลที่โรงเจแล้ว พวกเราพากันไปไหว้พระพุทธรูปทองคำ ที่วัดพิพัฒน์มงคล อำเภอทุ่งเสลี่ยม จังหวัดสุโขทัย 





จากนั้นก็ถ่ายภาพหมู่เอาไว้เป็นที่ระลึก บุคคลในภาพนี้เป็นญาติธรรมของคุณเอส (ยืนข้างหลังผมสั้นเพิ่งลาสิกขาใหม่) และภรรยา (คนใส่เสื้อสีฟ้า)




สุดท้ายเป็นภาพเครื่องบินขนาดใหญ่จอดอยู่ที่สนามบินพิษณุโลก ได้รับบริจาคมาไว้เพื่อการศึกษาของเยาวชน มี ๒ เครื่อง อีกลำหนึ่งจอดอยู่ฝั่งตรงกันข้ามกับลำนี้ 


ถ่ายเมื่อวันที่ ๒๕ พ.ย. ๕๔ ขณะที่ไปขึ้นเครื่องเพื่อเดินทางไปสุวรรณภูมิ แล้วต่อเครื่องไปขอนแก่น เพื่อร่วมงานบำเพ็ญกุศลหลวงปู่ใหญ่ พระธรรมวงศาจารย์ วัดกลางกาฬสินธุ์ ก่อนที่จะทำพิธีพระราชทานเพลิงในวันอาทิตย์ที่่ ๒๗ พ.ย. ๕๔.





ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น