สมัยหนึ่งขณะที่พระพุทธองค์ประทับอยู่ที่ ภูเขาคิชฌกูฏ กรุงราชคฤห์ พระองค์ได้ชี้ให้ภิกษุทั้งหลาย ดูพระมหาเถระและลูกศิษย์ ที่กำลังเดินจงกรมอยู่ มี พระสารีบุตรเถระ พระมหาโมคคัลลานเถระ พระมหากัสสปเถระ พระอนุรุทธเถระ พระปุณณมันตานีบุตรเถระ พระอุบาลีเถระ พระอานนทเถระ และพระเทวทัต ว่า ภิกษุที่เดินจงกรมอยู่กับพระสารีบุตรล้วนแต่เป็นผู้มีปัญญา ภิกษุที่เดินจงกรมอยู่กับพระมหาโมคคัลลานะล้วนแต่เป็นผู้มีฤทธิ์ ภิกษุที่เดินจงกรมอยู่กับพระมหากัสสปะล้วนแต่ชอบถือธุดงค์ ภิกษุที่เดินจงกรมอยู่กับพระอนุรุทธล้วนแต่ได้อภิญญา หูทิพย์ ตาทิพย์ ภิกษุที่เดินจงกรมอยู่กับพระปุณณมันตานีบุตรล้วนแต่เป็นพระธรรมถึก (พระนักเทศน์) ภิกษุที่เดินจงกรมอยู่กับพระอุบาลีล้วนแต่เป็นผู้ทรงวินัย ภิกษุที่เดินจงกรมอยู่กับพระอานนท์ล้วนแต่เป็นผู้คงแก่เรียน (เป็นพหูสูต) ภิกษุที่เดินจงกรมอยู่กับพระเทวทัตล้วนแต่เป็นคนมีความปรารถนาลามก (คิดชั่ว)
จากนั้นพระองค์ก็สรุปว่า คนคบกันเพราะมีอัธยาศัยเหมือนกัน หรือมีธาตุเหมือนกัน
พระสูตรนี้อยู่ในพระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๖ สังยุตตนิกาย นิทานวรรค ข้อ ๙๙ อ่านเนื้อความเต็ม ของพระสูตรได้ตามที่ปรากฏข้างล่างนี้
๕. จังกมสูตร ว่าด้วยการจงกรม
[๙๙] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ ภูเขาคิชฌกูฏ เขตกรุงราชคฤห์ สมัยนั้น ท่านพระสารีบุตรกำลังเดินจงกรมอยู่กับภิกษุจำนวนมากในที่ไม่ไกลพระผู้มี พระภาค ท่านพระมหาโมคคัลลานะก็กำลังเดินจงกรมอยู่กับภิกษุจำนวนมากในที่ไม่ไกลพระผู้มีพระภาค ท่านพระมหากัสสปะก็กำลังเดินจงกรมอยู่กับภิกษุจำนวนมากในที่ไม่ไกลพระผู้มีพระภาค ท่านพระอนุรุทธะก็กำลังเดินจงกรมอยู่กับภิกษุจำนวนมาก ในที่ไม่ไกลพระผู้มีพระภาค ท่านพระปุณณมันตานีบุตรก็กำลังเดินจงกรมอยู่กับภิกษุจำนวนมากในที่ไม่ไกลพระผู้มีพระภาค ท่านพระอุบาลีก็กำลังเดินจงกรมอยู่กับภิกษุจำนวนมากในที่ไม่ไกลพระผู้มีพระภาค ท่านพระอานนท์ก็กำลังเดินจงกรมอยู่กับภิกษุ จำนวนมากในที่ไม่ไกลพระผู้มีพระภาค แม้พระเทวทัตก็กำลังเดินจงกรมอยู่กับภิกษุจำนวนมากในที่ไม่ไกลพระผู้มีพระภาค
บุคคลผู้มีอัธยาศัยเหมือนกันจึงคบกันได้
ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคได้รับสั่งเรียกภิกษุทั้งหลายมาตรัสว่า
ภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายเห็นสารีบุตรกำลังเดินจงกรมอยู่กับภิกษุจำนวนมากหรือไม่
เห็น พระพุทธเจ้าข้า
ภิกษุทั้งหมดนี้ล้วนมีปัญญามาก
เธอทั้งหลายเห็นมหาโมคคัลลานะกำลังเดินจงกรมอยู่กับภิกษุจำนวนมากหรือไม่
เห็น พระพุทธเจ้าข้า
ภิกษุทั้งหมดนี้ล้วนมีฤทธิ์มาก
เธอทั้งหลายเห็นมหากัสสปะกำลังเดินจงกรมอยู่กับภิกษุจำนวนมากหรือไม่
เห็น พระพุทธเจ้าข้า
ภิกษุทั้งหมดนี้ล้วนกล่าวเรื่องธุดงค์[1]
เธอทั้งหลายเห็นอนุรุทธะกำลังเดินจงกรมอยู่กับภิกษุจำนวนมากหรือไม่
เห็น พระพุทธเจ้าข้า
ภิกษุทั้งหมดนี้ล้วนมีตาทิพย์
เธอทั้งหลายเห็นปุณณมันตานีบุตรกำลังเดินจงกรมอยู่กับภิกษุจำนวนมากหรือไม่
เห็น พระพุทธเจ้าข้า
ภิกษุทั้งหมดนี้ล้วนเป็นธรรมกถึก
เธอทั้งหลายเห็นอุบาลีกำลังเดินจงกรมอยู่กับภิกษุจำนวนมากหรือไม่
เห็น พระพุทธเจ้าข้า
ภิกษุทั้งหมดนี้ล้วนทรงวินัย
เธอทั้งหลายเห็นอานนท์กำลังเดินจงกรมอยู่กับภิกษุจำนวนมากหรือไม่
เห็น พระพุทธเจ้าข้า
ภิกษุทั้งหมดนี้ล้วนเป็นพหูสูต
เธอทั้งหลายเห็นเทวทัตกำลังเดินจงกรมอยู่กับภิกษุจำนวนมากหรือไม่
เห็น พระพุทธเจ้าข้า
ภิกษุทั้งหมดนี้ล้วนมีความปรารถนาชั่ว
สัตว์ทั้งหลายคบค้าสมาคมกันโดยธาตุอย่างเดียวกัน คือสัตว์ทั้งหลายผู้มีอัธยาศัย เลว คบค้าสมาคมกับสัตว์ทั้งหลายผู้มีอัธยาศัยเลว สัตว์ทั้งหลายผู้มีอัธยาศัยงาม คบค้าสมาคมกับสัตว์ทั้งหลายผู้มีอัธยาศัยงาม
แม้ในอดีต สัตว์ทั้งหลายก็ได้คบค้าสมาคมกันโดยธาตุอย่างเดียวกัน คือ สัตว์ทั้งหลายผู้มีอัธยาศัยเลว ได้คบค้าสมาคมกับสัตว์ทั้งหลายผู้มีอัธยาศัยเลว สัตว์ทั้งหลายผู้มีอัธยาศัยงาม ได้คบค้าสมาคมกับสัตว์ทั้งหลายผู้มีอัธยาศัยงาม
แม้ในอนาคต สัตว์ทั้งหลายก็จักคบค้าสมาคมกันโดยธาตุอย่างเดียวกัน คือสัตว์ทั้งหลายผู้มีอัธยาศัยเลว จักคบค้าสมาคมกับสัตว์ทั้งหลายผู้มีอัธยาศัยเลว สัตว์ทั้งหลายผู้มีอัธยาศัยงาม จักคบค้าสมาคมกับสัตว์ทั้งหลายผู้มีอัธยาศัยงาม
ภิกษุทั้งหลาย แม้ในปัจจุบันนี้ สัตว์ทั้งหลายคบค้าสมาคมกันโดยธาตุ อย่างเดียวกัน คือสัตว์ทั้งหลายผู้มีอัธยาศัยเลว คบค้าสมาคมกับสัตว์ทั้งหลาย ผู้มีอัธยาศัยเลว สัตว์ทั้งหลายผู้มีอัธยาศัยงาม คบค้าสมาคมกับสัตว์ทั้งหลายผู้มีอัธยาศัยงาม
จังกมสูตรที่ ๕ จบ
[1] กล่าวเรื่องธุดงค์ ในที่นี้หมายถึงการไต่ถามเกี่ยวกับการรักษาธุดงค์ อานิสงส์ การสมาทาน การอธิษฐาน และการขาดธุดงค์ (สํ.นิ.อ. ๒/๙๙/๑๕๗)