เรื่องของเปรตทั้ง ๒ นี้ มีผลมาจากการไม่สำรวมวาจา คือใช้ปากด่าว่าคนอื่นให้เสียหาย ด้วยคำไม่จริงในที่สุดตัวเองต้องมารับกรรมอย่างนี้ ดังนั้น สาธุชนทั้งหลายที่กลัวต่อผลกรรมนี้ ไม่ควรใช้ปากไปในทางที่ผิด เพื่อหวังผลสำเร็จเพียงเล็กน้อย หรือเพื่อทำลายคนอื่น
เรื่องเปรตทั้งสองนี้อยู่ในพระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ ข้อที่ ๔ - ๙
๒. สูกรมุขเปตวัตถุ
เรื่องเปรตปากหมู
(ท่านพระนารทเถระถามเปรตตนหนึ่งว่า)
[๔] ทั่วทั้งกายของท่านมีสีเหมือนทองคำ
เปล่งรัศมีสว่างไสวไปทั่วทุกทิศ
แต่ปากของท่านเหมือนปากสุกร
เมื่อก่อนท่านได้ทำกรรมอะไรไว้
(เปรตนั้นตอบว่า)
[๕] ท่านพระนารทะ เมื่อก่อนข้าพเจ้าได้สำรวมกาย
แต่ไม่ได้สำรวมวาจา
เพราะเหตุนั้น
ข้าพเจ้าจึงมีรูปร่างและผิวพรรณ
ตามที่ท่านเห็นอยู่นั้น
[๖] ท่านนารทะ
เพราะเหตุนั้น
ข้าพเจ้าขอบอกท่าน
สรีระของข้าพเจ้านี้ท่านเห็นเองแล้ว
ท่านอย่าได้ทำบาปด้วยปาก
ท่านอย่าได้มีปากเหมือนสุกรเลย
สูกรเปตวัตถุที่
๒ จบ
๓. ปูติมุขเปตวัตถุ
เรื่องเปรตปากเน่า
(ท่านพระนารทะถามเปรตตนหนึ่งว่า)
[๗] ท่านมีผิวพรรณงามดังทิพย์ ยืนอยู่ในกลางอากาศ
แต่ปากของท่านมีกลิ่นเหม็น
หมู่หนอนพากันชอนไช เมื่อก่อนท่านได้ทำกรรมอะไรไว้
(เปรตนั้นตอบว่า)
[๘] เมื่อก่อน
ข้าพเจ้าเป็นสมณะลามก
มีวาจาชั่วหยาบ
มีปกติสำรวมกาย
แต่ไม่สำรวมปาก
จึงได้มีผิวพรรณดังทองคำเพราะความสำรวมกาย
แต่ปากของข้าพเจ้าเหม็นเน่าเพราะพูดส่อเสียด
[๙] ท่านนารทะ
รูปร่างของข้าพเจ้าท่านเห็นเองแล้ว
ท่านผู้ฉลาดซึ่งเป็นผู้อนุเคราะห์กล่าวไว้ว่า
ท่านอย่าได้พูดส่อเสียด และอย่าได้พูดมุสา
ท่านจักเป็นเทพผู้สมบูรณ์ด้วยสมบัติที่น่าปรารถนา
ปูติมุขเปตวัตถุที่ ๓ จบ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น