วันเสาร์ที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2553

ลีลาชีวิต

> ฉันเกิดในหมู่บ้านบนภูเขาที่ห่างไกลผู้คน
>
แต่ละวันพ่อแม่ของฉันต้องพรวนดินในไร่ท่ามกลางแดดที่ร้อนระอุ
>
ฉันมีน้องชายอยู่หนึ่งคน อายุน้อยกว่าฉัน 3 ปี
>
วันหนึ่งฉันขโมยเงินของพ่อเพื่อไปซื้อผ้าเช็ดหน้าที่เพื่อนๆ
>
ของฉันมีกัน จากนั้นพ่อก็รู้เรื่อง
>
พ่อให้ฉันกับน้องคุกเข่าหันหน้าเข้าหากำแพง
>
โดยที่ในมือพ่อมีก้านไม่ไผ่อยู่หนึ่งก้าน
> "
ใครขโมยเงินไป" พ่อตวาด
>
ฉันกลัวมาก ไม่กล้าพูดอะไรออกไป น้องชายฉันก็เช่นกัน
>
พ่อจึงเอ่ยขึ้นว่า "ก็ได้ ในเมื่อไม่มีคนรับสารภาพ
>
ก็ต้องโดนลงโทษทั้งคู่นั่นล่ะ"
>
พ่อชูก้านไม้ไผ่ในมือขึ้น
>
ทันใดนั้น น้องชายของฉันก็ลุกขึ้นคว้าข้อมือของพ่อไว้
>
แล้วพูดว่า "ผมขโมยเองครับ"
>
ก้านไม้ไผ่ก้านนั้นได้กระหน่ำลงบนหลังของน้องของฉันอย่าง
>
ต่อเนื่อง พ่อโกรธมาก พ่อตีน้องของฉันไม่หยุด
>
จนพ่อหอบด้วยความเหนื่อย
>
พ่อนั่งลงบนเก้าอี้ และด่าว่าน้องชายของฉัน
> "
ของคนในบ้านแกเอง แกยังขโมยได้ต่อไปแกจะทำชั่วอะไรอีก
>
แกน่าจะโดนตีให้ตาย ไอ้หัวขโมย"
>
คืนนั้น ฉันกับแม่กอดน้องชายของฉันไว้
>
หลังของน้องมีแผลเต็มไปหมด
>
แต่เขาไม่ได้ร้องไห้แม้แต่น้อย
>
กลางดึกคืนนั้น ฉันนอนร้องไห้เสียงดัง และนานมาก
>
น้องเอามือเล็กๆ ของเขามาปิดปากฉันไว้ แล้วพูดว่า
> "
พี่ครับ ไม่ต้องร้องไห้นะมันผ่านไปแล้ว"
>
ยังไงฉันก็อดที่จะเกลียดตัวเองไม่ได้
>
ที่ไม่มีความกล้าจะบอกความจริงกับพ่อ
>
หลายปีผ่านไป
>
แต่เหมือนกับว่าเหตุการณ์มันเพิ่งเกิดเมื่อวานนี้เอง
>
ฉันไม่อาจลืมคำพูดของน้องชายตอนที่เขาปกป้องฉันได้เลย
>
ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 8ปี ส่วนฉันอายุ 11ปี...
>
เมื่อตอนที่น้องชายของฉันใกล้จบ ม.ต้น
>
เขาได้รับการตอบรับจากโรงเรียน
>
ม.ปลาย ว่าเขาสอบได้ ในขณะที่ฉันซึ่งใกล้จบ ม.ปลาย
>
ก็ได้รับการตอบรับจากมหาวิทยาลัยของจังหวัดเช่นกัน
>
>
คืนนั้น พ่อได้นั่งสูบบุหรี่อยู่ที่สวนหลังบ้าน
>
ฉันแอบได้ยินพ่อพูดว่า " ลูกเราทั้งคู่เรียนดี เรียนดีมากนะ"
>
>
แม่ซึ่งนั่งเช็ดน้ำตาอยู่ข้างๆ พ่อ ได้พูดว่า
> "
แล้วเราจะส่งเสียลูกทั้งคู่ได้อย่างไร ในเมื่อเราก็ไม่ค่อยมีเงิน"
>
>
ทันใดนั้น น้องชายของฉันได้เดินเข้าไปหาพ่อ แล้วพูดว่า
> "
ผมไม่ต้องการเรียนต่อผมอ่านหนังสือมามากพอแล้ว"
>
>
พ่อเหวี่ยงมือตบลงที่แก้มของน้องของฉันฉาดใหญ่
> "
ทำไมถึงคิดโง่ๆ อย่างนี้
>
ต่อให้พ่อต้องไปเป็นขอทานข้างถนน
>
พ่อก็จะส่งแกทั้งคู่เรียนจนจบให้ได้"
>
>
คืนนั้นทั้งคืน พ่อได้เดินไปตามบ้านต่างๆ ทั่วทั้งหมู่บ้าน
>
เพื่อขอยืมเงิน
>
ฉันค่อยๆ เอามือประคบแก้มบวมๆ ของน้องชายเบาๆ และคิดว่า
> "
ต้องให้น้องได้เรียนต่อ
>
ไม่เช่นนั้นเขาคงไม่อาจหลุดพ้นชีวิตลำบากเช่นนี้ไปได้"
>
>
แต่ในขณะเดียวกัน
>
ฉันก็ไม่อาจล้มเลิกความคิดอยากจะเรียนต่อไปได้
>
ใครจะรู้ได้ ... วันต่อมาในตอนเช้ามืด
>
น้องชายของฉันได้ออกจากบ้านไปพร้อมทั้งเสื้อผ้าติดตัวเพียง
>
ไม่กี่ชิ้น
>
และถั่วเพียงเล็กน้อยเพื่อประทังความหิว
>
ก่อนไปเขาได้ทิ้งข้อความไว้ใต้หมอนของฉัน
>
ขณะฉันกำลังหลับ
> "
พี่ครับ การจะเข้ามหาวิทยาลัยได้ ไม่ใช่ง่ายๆ นะ ....
>
ผมจะไปหางานทำ
>
แล้วจะส่งเงินมาให้พี่"
>
>
ฉันนั่งอยู่บนเตียง
>
อ่านข้อความของน้องชายด้วยน้ำตานองหน้า ...
>
ฉันร้องไห้จนเสียงแหบแห้งไป
>
ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 17ปี ส่วนฉันอายุ 20ปี .
>
>
ด้วยเงินที่พ่อยืมมาจากคนในหมู่บ้าน

>
รวมกับเงินที่น้องชายของฉันได้รับเป็นค่าจ้างมาจากการทำงาน
>
เป็นกรรมกรแบกหามที่ ไซท์ก่อสร้าง ...
>
ฉันจึงสามารถเข้าเรียนมหาวิทยาลัยได้จนถึงปี 3
>
>
วันหนึ่งขณะที่ฉันกำลังอ่านหนังสืออยู่ในห้องพัก

>
เพื่อนร่วมห้องของฉันได้เข้ามาบอกว่า "มีชาวบ้านมาหาเธอ
>
อยู่ข้างนอกแน่ะ"
>
>
ทำไมชาวบ้านถึงมาหาฉันล่ะ ???
>
ฉันเดินออกไปแล้วมองเห็นน้องชายของฉันยืนอยู่

>
ตัวของเขาเปรอะเปื้อนไปด้วยฝุ่นปูนและทรายจากงาน
>
ก่อสร้าง ...
>
ฉันถามเขาว่า
> "
ทำไมไม่บอกเพื่อนพี่ไปว่าเป็นน้องชายพี่ล่ะ"
>
น้องชายของฉันตอบยิ้มๆ ว่า "ก็ดูผมสิ
>
สกปรกมอมแมมออกอย่างนี้
>
ขืนบอกว่าเป็นน้องพี่ เพื่อนๆ
>
ก้อได้หัวเราะเยาะพี่กันพอดี"
>
>
ฉันค่อยๆ เอื้อมมืออันสั่นเทาไปปัดฝุ่นให้น้อง
>
และพยายามพูดด้วยเสียงเครือๆในลำคอ
> "
พี่ไม่สนใจว่าใครจะพูดยังไง
>
เธอเป็นน้องของพี่ ไม่ว่าเธอจะดูเป็นอย่างไรก็ตาม"
>
>
จากนั้น น้องของฉันได้ล้วงบางอย่างออกมาจากกระเป๋ากางเกง
>
เป็นกิ๊บหนีบผมรูปผีเสื้อ . เขาติดกิ๊บให้ฉัน
>
แล้วพูดว่า
> "
ผมเห็นสาวๆ ในเมืองเค้าติดกัน ผมเลยอยากให้พี่ติดบ้าง"
>
>
ฉันหมดเรี่ยวแรงลงในทันใด
>
ดึงน้องชายเข้ามาสวมกอดและร้องไห้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าเป็นเวลานาน
>
ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 20 ปี ส่วนฉันอายุ 23 ปี .
>
>
วันที่ฉันพาแฟนหนุ่มของฉันมาที่บ้านเป็นครั้งแรก
>
ฉันสังเกตเห็นว่า
>
หน้าต่างบ้านที่เคยแตกไป ได้ถูกซ่อมเรียบร้อยแล้ว
>
เมื่อเข้าไปในบ้านก็เห็นว่าบ้านสะอาดขึ้นมาก
>
>
หลังจากที่แฟนของฉันกลับไป ฉันพูดกับแม่ว่า
> "
แม่ไม่ต้องเสียเงินเพื่อทำความสะอาดบ้านกับซ่อมกระจก
>
เพียงเพราะหนูจะพาแฟนมาที่บ้านหรอกนะคะ"
>
>
แม่ยิ้ม แล้วพูดว่า " แม่ไม่ได้จ้างหรอก
>
น้องชายลูกต่างหาก
>
วันนี้เค้าขอเลิกงานเร็วเพื่อกลับมาทำความสะอาดบ้าน
>
ลูกยังไม่เห็นมือน้องหรอกเหรอ
>
น้องโดนกระจกบาดตอนกำลังเปลี่ยนกระจกบานใหม่น่ะ"
>
>
ฉันรีบเข้าไปหาน้องที่ห้องนอนของเขา
>
ฉันรู้สึกเหมือนถูกเข็มนับร้อยเล่มทิ่มลงกลางใจเมื่อได้เห็นบาดแผลบนมือ
>
ฉันจับมือน้องเอาไว้อย่างเบามือที่สุด "เจ็บมากไหม"
>
ฉันถาม "ไม่เจ็บสักหน่อย พี่ก็รู้นี่ผมทำงานก่อสร้างนะ วันๆ
>
มีหินตกมาใส่เท้าผมเต็มไปหมด
>
แต่มันก็ไม่ได้ทำให้ผมคิดเลิกทำงานหรอกนะ
>
และ..."
>
น้องชายของฉันยังพูดไม่จบประโยค แต่ก็ต้องหยุดพูด
>
เพราะฉันหันหน้าหนีเขา
>
น้ำตาไหลอาบหน้าของฉันอีกครั้ง
>
ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 23 ปี ส่วนฉันอายุ 26 ปี...
>
>
หลังจากนั้น ฉันก็ได้แต่งงานและย้ายเข้าไปอยู่ในเมือง
>
หลายครั้งที่สามีของฉันชักชวนให้พ่อแม่ของฉันย้ายเข้า
>
มาอยู่ในเมืองด้วยกัน ...
>
แต่ท่านทั้งสองก็ปฏิเสธ

>
ท่านบอกว่า ท่านเคยย้ายออกจากหมู่บ้านครั้งหนึ่ง
>
แต่เมื่อออกไปแล้ว ท่านไม่รู้จะทำอะไรดี
>
จึงได้ย้ายกลับเข้ามาใช้ชีวิตในหมู่บ้านตามเดิม
>
น้องชายของฉันก็ไม่เห็นด้วยกับการที่จะให้เขา
>
และพ่อแม่ย้ายออกไป ...
>
เขาบอกกับฉันว่า

> "
พี่คอยอยู่ดูแลพ่อและแม่ของสามีพี่ทางนั้นเถอะ
>
ผมจะดูแลพ่อและแม่ทางนี้เอง"
>
สามีฉันได้ขึ้นเป็นประธานของบริษัทของครอบครัว
>
เราทั้งคู่อยากให้น้องชายของฉันเข้ามารับตำแหน่ง
>
ผู้จัดการบริษัท ...
>
แต่น้องชายของฉันก็ไม่รับตำแหน่งนี้

>
เขาขอเข้าทำงานในตำแหน่งพนักงานธรรมดา
>
>
วันหนึ่ง น้องชายของฉันต้องปีนบันไดขึ้นไปซ่อมสายเคเบิล
>
และตกลงมาเพราะโดนไฟดูด
>
เขาถูกรีบหามส่งโรงพยาบาล
>
ฉันและสามีรีบไปเยี่ยมเขาที่โรงพยาบาล
>
น้องชายของฉันขาหักต้องเข้าเฝือกที่ขา
> ...
ฉันโกรธมาก จึงตวาดน้องไปว่า
>
> "
ทำไมถึงไม่ยอมรับตำแหน่งผู้จัดการ หา!!!
>
ถ้าเป็นผู้จัดการก็จะได้ไม่ต้องมาทำงานเสี่ยงๆ อย่างนี้
>
ดูตัวเองซิ
>
เจ็บเจียนตายอยู่แล้ว ทำไมถึงไม่ยอมฟังพี่บ้าง"
>
>
คำตอบจากปากน้องของฉันรวมถึงสีหน้าเคร่งเครียด
>
ยังยืนยันความคิดเดิมของเขา
> "
พี่ลองคิดถึงพี่เขยสิครับ พี่เขยเพิ่งจะได้เป็นประธาน
>
ส่วนผมมันการศึกษาต่ำ
>
ถ้าผมได้เป็นผู้จัดการ
>
คงจะมีเสียงนินทาว่าร้ายเต็มไปหมด"
>
>
น้ำตาปริ่มดวงตาของฉันรวมทั้งสามีของฉันด้วย .
>
ฉันบอกกับน้องว่า
> "
แต่ที่เธอไม่ได้เรียนต่อก็เพราะพี่..."
>
> "
ทำไมต้องพูดถึงเรื่องที่ผ่านไปแล้วด้วยล่ะครับ"
>
น้องชายของฉันจับมือฉันไว้
>
ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 26ปี ส่วนฉันอายุ 29 ปี...
>
>
เมื่อน้องชายของฉันอายุได้ 30 ปี
>
เขาได้แต่งงานกับสาวชาวนาในหมู่บ้านเดียวกัน
>
>
ในงานแต่งงาน ประธานในงานได้ถามน้องชายของฉันว่า
> "
ใครคือคนที่คุณรักที่สุดในชีวิตนี้"
>
>
น้องชายของฉันตอบอย่างไม่ลังเล "พี่สาวของผมครับ" .
>
และเขาก็เล่าเรื่องราวที่แม้แต่ฉันยังจำไม่ได้
>
> "
ตอนผมอยู่โรงเรียนประถม โรงเรียนอยู่อีกหมู่บ้านหนึ่ง
>
เราสองคนพี่น้องต้องใช้เวลาถึง 2ชม. เพื่อเดินไปเรียน
>
และเดินกลับบ้าน
>
วันหนึ่งผมทำถุงมือหายไปข้างหนึ่ง
>
พี่สาวผมจึงได้ให้ถุงมือของเธอข้างหนึ่ง
>
และเธอก็ใส่ถุงมือเพียงข้างเดียวเดินเป็นระยะทางไกล
>
เมื่อเรากลับถึงบ้านมือเธอบวมแดงเพราะอากาศหนาว
>
เธอไม่สามารถจับช้อนทานข้าวได้ด้วยซ้ำ ... นับจากวันนั้น
>
>
ผมสาบานกับตัวเอง
>
ว่าตลอดชีวิตของผม ผมจะดูแลพี่สาวของผมให้ดี
>
และจะทำดีกับเธอ"
>
>
เสียงปรบมือดังกึกก้องไปทั่ว
>
สายตาทุกคู่ของแขกเหรื่อหันมาจับจ้องที่ฉัน
>
>
คำพูดจากปากฉันออกมาอย่างยากลำบาก ... "ในโลกใบนี้
>
คนเดียวที่ฉันรู้สึกขอบคุณที่สุด คือน้องชายของฉันค่ะ"
>
>
ในวาระที่มีความสุขที่สุดเช่นนี้
>
น้ำตาได้รินไหลออกมาจากสองตาของฉันอีกครั้ง...
>
>
จงรัก และห่วงใยคนที่คุณรักในทุกๆ
>
วันในชีวิตของคุณและเขา
>
คุณอาจจะคิดว่าสิ่งที่คุณทำให้ใครสักคนเป็นเพียงสิ่งเล็กๆ น้อยๆ
>
แต่สำหรับคนคนนั้นอาจจะมีความหมายมากอย่างคาดไม่ถึง
> ..
ไม่ว่าเขาคนนั้นจะคือ
>
>
พ่อ แม่ พี่ น้อง ญาติ คนรัก เพื่อน
>
หรือแม้คนที่คุณไม่รู้จัก ก็ตาม

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น