> ฉันเกิดในหมู่บ้านบนภูเขาที่ห่างไกลผู้คน
> แต่ละวันพ่อแม่ของฉันต้องพรวนดินในไร่ท่ามกลางแดดที่ร้อนระอุ
> ฉันมีน้องชายอยู่หนึ่งคน อายุน้อยกว่าฉัน 3 ปี
> วันหนึ่งฉันขโมยเงินของพ่อเพื่อไปซื้อผ้าเช็ดหน้าที่เพื่อนๆ
> ของฉันมีกัน จากนั้นพ่อก็รู้เรื่อง
> พ่อให้ฉันกับน้องคุกเข่าหันหน้าเข้าหากำแพง
> โดยที่ในมือพ่อมีก้านไม่ไผ่อยู่หนึ่งก้าน
> "ใครขโมยเงินไป" พ่อตวาด
> ฉันกลัวมาก ไม่กล้าพูดอะไรออกไป น้องชายฉันก็เช่นกัน
> พ่อจึงเอ่ยขึ้นว่า "ก็ได้ ในเมื่อไม่มีคนรับสารภาพ
> ก็ต้องโดนลงโทษทั้งคู่นั่นล่ะ"
> พ่อชูก้านไม้ไผ่ในมือขึ้น
> ทันใดนั้น น้องชายของฉันก็ลุกขึ้นคว้าข้อมือของพ่อไว้
> แล้วพูดว่า "ผมขโมยเองครับ"
> ก้านไม้ไผ่ก้านนั้นได้กระหน่ำลงบนหลังของน้องของฉันอย่าง
> ต่อเนื่อง พ่อโกรธมาก พ่อตีน้องของฉันไม่หยุด
> จนพ่อหอบด้วยความเหนื่อย
> พ่อนั่งลงบนเก้าอี้ และด่าว่าน้องชายของฉัน
> " ของคนในบ้านแกเอง แกยังขโมยได้ต่อไปแกจะทำชั่วอะไรอีก
> แกน่าจะโดนตีให้ตาย ไอ้หัวขโมย"
> คืนนั้น ฉันกับแม่กอดน้องชายของฉันไว้
> หลังของน้องมีแผลเต็มไปหมด
> แต่เขาไม่ได้ร้องไห้แม้แต่น้อย
> กลางดึกคืนนั้น ฉันนอนร้องไห้เสียงดัง และนานมาก
> น้องเอามือเล็กๆ ของเขามาปิดปากฉันไว้ แล้วพูดว่า
> " พี่ครับ ไม่ต้องร้องไห้นะมันผ่านไปแล้ว"
> ยังไงฉันก็อดที่จะเกลียดตัวเองไม่ได้
> ที่ไม่มีความกล้าจะบอกความจริงกับพ่อ
> หลายปีผ่านไป
> แต่เหมือนกับว่าเหตุการณ์มันเพิ่งเกิดเมื่อวานนี้เอง
> ฉันไม่อาจลืมคำพูดของน้องชายตอนที่เขาปกป้องฉันได้เลย
> ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 8ปี ส่วนฉันอายุ 11ปี...
> เมื่อตอนที่น้องชายของฉันใกล้จบ ม.ต้น
> เขาได้รับการตอบรับจากโรงเรียน
> ม.ปลาย ว่าเขาสอบได้ ในขณะที่ฉันซึ่งใกล้จบ ม.ปลาย
> ก็ได้รับการตอบรับจากมหาวิทยาลัยของจังหวัดเช่นกัน
>
> คืนนั้น พ่อได้นั่งสูบบุหรี่อยู่ที่สวนหลังบ้าน
> ฉันแอบได้ยินพ่อพูดว่า " ลูกเราทั้งคู่เรียนดี เรียนดีมากนะ"
>
> แม่ซึ่งนั่งเช็ดน้ำตาอยู่ข้างๆ พ่อ ได้พูดว่า
> "แล้วเราจะส่งเสียลูกทั้งคู่ได้อย่างไร ในเมื่อเราก็ไม่ค่อยมีเงิน"
>
> ทันใดนั้น น้องชายของฉันได้เดินเข้าไปหาพ่อ แล้วพูดว่า
> " ผมไม่ต้องการเรียนต่อผมอ่านหนังสือมามากพอแล้ว"
>
> พ่อเหวี่ยงมือตบลงที่แก้มของน้องของฉันฉาดใหญ่
> "ทำไมถึงคิดโง่ๆ อย่างนี้
> ต่อให้พ่อต้องไปเป็นขอทานข้างถนน
> พ่อก็จะส่งแกทั้งคู่เรียนจนจบให้ได้"
>
> คืนนั้นทั้งคืน พ่อได้เดินไปตามบ้านต่างๆ ทั่วทั้งหมู่บ้าน
> เพื่อขอยืมเงิน
> ฉันค่อยๆ เอามือประคบแก้มบวมๆ ของน้องชายเบาๆ และคิดว่า
> " ต้องให้น้องได้เรียนต่อ
> ไม่เช่นนั้นเขาคงไม่อาจหลุดพ้นชีวิตลำบากเช่นนี้ไปได้"
>
> แต่ในขณะเดียวกัน
> ฉันก็ไม่อาจล้มเลิกความคิดอยากจะเรียนต่อไปได้
> ใครจะรู้ได้ ... วันต่อมาในตอนเช้ามืด
> น้องชายของฉันได้ออกจากบ้านไปพร้อมทั้งเสื้อผ้าติดตัวเพียง
> ไม่กี่ชิ้น
> และถั่วเพียงเล็กน้อยเพื่อประทังความหิว
> ก่อนไปเขาได้ทิ้งข้อความไว้ใต้หมอนของฉัน
> ขณะฉันกำลังหลับ
> " พี่ครับ การจะเข้ามหาวิทยาลัยได้ ไม่ใช่ง่ายๆ นะ ....
> ผมจะไปหางานทำ
> แล้วจะส่งเงินมาให้พี่"
>
> ฉันนั่งอยู่บนเตียง
> อ่านข้อความของน้องชายด้วยน้ำตานองหน้า ...
> ฉันร้องไห้จนเสียงแหบแห้งไป
> ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 17ปี ส่วนฉันอายุ 20ปี .
>
> ด้วยเงินที่พ่อยืมมาจากคนในหมู่บ้าน
> รวมกับเงินที่น้องชายของฉันได้รับเป็นค่าจ้างมาจากการทำงาน
> เป็นกรรมกรแบกหามที่ ไซท์ก่อสร้าง ...
> ฉันจึงสามารถเข้าเรียนมหาวิทยาลัยได้จนถึงปี 3
>
> วันหนึ่งขณะที่ฉันกำลังอ่านหนังสืออยู่ในห้องพัก
> เพื่อนร่วมห้องของฉันได้เข้ามาบอกว่า "มีชาวบ้านมาหาเธอ
> อยู่ข้างนอกแน่ะ"
>
> ทำไมชาวบ้านถึงมาหาฉันล่ะ ???
> ฉันเดินออกไปแล้วมองเห็นน้องชายของฉันยืนอยู่
> ตัวของเขาเปรอะเปื้อนไปด้วยฝุ่นปูนและทรายจากงาน
> ก่อสร้าง ...
> ฉันถามเขาว่า
> "ทำไมไม่บอกเพื่อนพี่ไปว่าเป็นน้องชายพี่ล่ะ"
> น้องชายของฉันตอบยิ้มๆ ว่า "ก็ดูผมสิ
> สกปรกมอมแมมออกอย่างนี้
> ขืนบอกว่าเป็นน้องพี่ เพื่อนๆ
> ก้อได้หัวเราะเยาะพี่กันพอดี"
>
> ฉันค่อยๆ เอื้อมมืออันสั่นเทาไปปัดฝุ่นให้น้อง
> และพยายามพูดด้วยเสียงเครือๆในลำคอ
> " พี่ไม่สนใจว่าใครจะพูดยังไง
> เธอเป็นน้องของพี่ ไม่ว่าเธอจะดูเป็นอย่างไรก็ตาม"
>
> จากนั้น น้องของฉันได้ล้วงบางอย่างออกมาจากกระเป๋ากางเกง
> เป็นกิ๊บหนีบผมรูปผีเสื้อ . เขาติดกิ๊บให้ฉัน
> แล้วพูดว่า
> "ผมเห็นสาวๆ ในเมืองเค้าติดกัน ผมเลยอยากให้พี่ติดบ้าง"
>
> ฉันหมดเรี่ยวแรงลงในทันใด
> ดึงน้องชายเข้ามาสวมกอดและร้องไห้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าเป็นเวลานาน
> ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 20 ปี ส่วนฉันอายุ 23 ปี .
>
> วันที่ฉันพาแฟนหนุ่มของฉันมาที่บ้านเป็นครั้งแรก
> ฉันสังเกตเห็นว่า
> หน้าต่างบ้านที่เคยแตกไป ได้ถูกซ่อมเรียบร้อยแล้ว
> เมื่อเข้าไปในบ้านก็เห็นว่าบ้านสะอาดขึ้นมาก
>
> หลังจากที่แฟนของฉันกลับไป ฉันพูดกับแม่ว่า
> "แม่ไม่ต้องเสียเงินเพื่อทำความสะอาดบ้านกับซ่อมกระจก
> เพียงเพราะหนูจะพาแฟนมาที่บ้านหรอกนะคะ"
>
> แม่ยิ้ม แล้วพูดว่า " แม่ไม่ได้จ้างหรอก
> น้องชายลูกต่างหาก
> วันนี้เค้าขอเลิกงานเร็วเพื่อกลับมาทำความสะอาดบ้าน
> ลูกยังไม่เห็นมือน้องหรอกเหรอ
> น้องโดนกระจกบาดตอนกำลังเปลี่ยนกระจกบานใหม่น่ะ"
>
> ฉันรีบเข้าไปหาน้องที่ห้องนอนของเขา
> ฉันรู้สึกเหมือนถูกเข็มนับร้อยเล่มทิ่มลงกลางใจเมื่อได้เห็นบาดแผลบนมือ
> ฉันจับมือน้องเอาไว้อย่างเบามือที่สุด "เจ็บมากไหม"
> ฉันถาม "ไม่เจ็บสักหน่อย พี่ก็รู้นี่ผมทำงานก่อสร้างนะ วันๆ
> มีหินตกมาใส่เท้าผมเต็มไปหมด
> แต่มันก็ไม่ได้ทำให้ผมคิดเลิกทำงานหรอกนะ
> และ..."
> น้องชายของฉันยังพูดไม่จบประโยค แต่ก็ต้องหยุดพูด
> เพราะฉันหันหน้าหนีเขา
> น้ำตาไหลอาบหน้าของฉันอีกครั้ง
> ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 23 ปี ส่วนฉันอายุ 26 ปี...
>
> หลังจากนั้น ฉันก็ได้แต่งงานและย้ายเข้าไปอยู่ในเมือง
> หลายครั้งที่สามีของฉันชักชวนให้พ่อแม่ของฉันย้ายเข้า
> มาอยู่ในเมืองด้วยกัน ...
> แต่ท่านทั้งสองก็ปฏิเสธ
> ท่านบอกว่า ท่านเคยย้ายออกจากหมู่บ้านครั้งหนึ่ง
> แต่เมื่อออกไปแล้ว ท่านไม่รู้จะทำอะไรดี
> จึงได้ย้ายกลับเข้ามาใช้ชีวิตในหมู่บ้านตามเดิม
> น้องชายของฉันก็ไม่เห็นด้วยกับการที่จะให้เขา
> และพ่อแม่ย้ายออกไป ...
> เขาบอกกับฉันว่า
> "พี่คอยอยู่ดูแลพ่อและแม่ของสามีพี่ทางนั้นเถอะ
> ผมจะดูแลพ่อและแม่ทางนี้เอง"
> สามีฉันได้ขึ้นเป็นประธานของบริษัทของครอบครัว
> เราทั้งคู่อยากให้น้องชายของฉันเข้ามารับตำแหน่ง
> ผู้จัดการบริษัท ...
> แต่น้องชายของฉันก็ไม่รับตำแหน่งนี้
> เขาขอเข้าทำงานในตำแหน่งพนักงานธรรมดา
>
> วันหนึ่ง น้องชายของฉันต้องปีนบันไดขึ้นไปซ่อมสายเคเบิล
> และตกลงมาเพราะโดนไฟดูด
> เขาถูกรีบหามส่งโรงพยาบาล
> ฉันและสามีรีบไปเยี่ยมเขาที่โรงพยาบาล
> น้องชายของฉันขาหักต้องเข้าเฝือกที่ขา
> ... ฉันโกรธมาก จึงตวาดน้องไปว่า
>
> " ทำไมถึงไม่ยอมรับตำแหน่งผู้จัดการ หา!!!
> ถ้าเป็นผู้จัดการก็จะได้ไม่ต้องมาทำงานเสี่ยงๆ อย่างนี้
> ดูตัวเองซิ
> เจ็บเจียนตายอยู่แล้ว ทำไมถึงไม่ยอมฟังพี่บ้าง"
>
> คำตอบจากปากน้องของฉันรวมถึงสีหน้าเคร่งเครียด
> ยังยืนยันความคิดเดิมของเขา
> "พี่ลองคิดถึงพี่เขยสิครับ พี่เขยเพิ่งจะได้เป็นประธาน
> ส่วนผมมันการศึกษาต่ำ
> ถ้าผมได้เป็นผู้จัดการ
> คงจะมีเสียงนินทาว่าร้ายเต็มไปหมด"
>
> น้ำตาปริ่มดวงตาของฉันรวมทั้งสามีของฉันด้วย .
> ฉันบอกกับน้องว่า
> "แต่ที่เธอไม่ได้เรียนต่อก็เพราะพี่..."
>
> "ทำไมต้องพูดถึงเรื่องที่ผ่านไปแล้วด้วยล่ะครับ"
> น้องชายของฉันจับมือฉันไว้
> ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 26ปี ส่วนฉันอายุ 29 ปี...
>
> เมื่อน้องชายของฉันอายุได้ 30 ปี
> เขาได้แต่งงานกับสาวชาวนาในหมู่บ้านเดียวกัน
>
> ในงานแต่งงาน ประธานในงานได้ถามน้องชายของฉันว่า
> " ใครคือคนที่คุณรักที่สุดในชีวิตนี้"
>
> น้องชายของฉันตอบอย่างไม่ลังเล "พี่สาวของผมครับ" .
> และเขาก็เล่าเรื่องราวที่แม้แต่ฉันยังจำไม่ได้
>
> "ตอนผมอยู่โรงเรียนประถม โรงเรียนอยู่อีกหมู่บ้านหนึ่ง
> เราสองคนพี่น้องต้องใช้เวลาถึง 2ชม. เพื่อเดินไปเรียน
> และเดินกลับบ้าน
> วันหนึ่งผมทำถุงมือหายไปข้างหนึ่ง
> พี่สาวผมจึงได้ให้ถุงมือของเธอข้างหนึ่ง
> และเธอก็ใส่ถุงมือเพียงข้างเดียวเดินเป็นระยะทางไกล
> เมื่อเรากลับถึงบ้านมือเธอบวมแดงเพราะอากาศหนาว
> เธอไม่สามารถจับช้อนทานข้าวได้ด้วยซ้ำ ... นับจากวันนั้น
>
> ผมสาบานกับตัวเอง
> ว่าตลอดชีวิตของผม ผมจะดูแลพี่สาวของผมให้ดี
> และจะทำดีกับเธอ"
>
> เสียงปรบมือดังกึกก้องไปทั่ว
> สายตาทุกคู่ของแขกเหรื่อหันมาจับจ้องที่ฉัน
>
> คำพูดจากปากฉันออกมาอย่างยากลำบาก ... "ในโลกใบนี้
> คนเดียวที่ฉันรู้สึกขอบคุณที่สุด คือน้องชายของฉันค่ะ"
>
> ในวาระที่มีความสุขที่สุดเช่นนี้
> น้ำตาได้รินไหลออกมาจากสองตาของฉันอีกครั้ง...
>
> จงรัก และห่วงใยคนที่คุณรักในทุกๆ
> วันในชีวิตของคุณและเขา
> คุณอาจจะคิดว่าสิ่งที่คุณทำให้ใครสักคนเป็นเพียงสิ่งเล็กๆ น้อยๆ
> แต่สำหรับคนคนนั้นอาจจะมีความหมายมากอย่างคาดไม่ถึง
> .. ไม่ว่าเขาคนนั้นจะคือ
>
> พ่อ แม่ พี่ น้อง ญาติ คนรัก เพื่อน
> หรือแม้คนที่คุณไม่รู้จัก ก็ตาม
> แต่ละวันพ่อแม่ของฉันต้องพรวนดินในไร่ท่ามกลางแดดที่ร้อนระอุ
> ฉันมีน้องชายอยู่หนึ่งคน อายุน้อยกว่าฉัน 3 ปี
> วันหนึ่งฉันขโมยเงินของพ่อเพื่อไปซื้อผ้าเช็ดหน้าที่เพื่อนๆ
> ของฉันมีกัน จากนั้นพ่อก็รู้เรื่อง
> พ่อให้ฉันกับน้องคุกเข่าหันหน้าเข้าหากำแพง
> โดยที่ในมือพ่อมีก้านไม่ไผ่อยู่หนึ่งก้าน
> "ใครขโมยเงินไป" พ่อตวาด
> ฉันกลัวมาก ไม่กล้าพูดอะไรออกไป น้องชายฉันก็เช่นกัน
> พ่อจึงเอ่ยขึ้นว่า "ก็ได้ ในเมื่อไม่มีคนรับสารภาพ
> ก็ต้องโดนลงโทษทั้งคู่นั่นล่ะ"
> พ่อชูก้านไม้ไผ่ในมือขึ้น
> ทันใดนั้น น้องชายของฉันก็ลุกขึ้นคว้าข้อมือของพ่อไว้
> แล้วพูดว่า "ผมขโมยเองครับ"
> ก้านไม้ไผ่ก้านนั้นได้กระหน่ำลงบนหลังของน้องของฉันอย่าง
> ต่อเนื่อง พ่อโกรธมาก พ่อตีน้องของฉันไม่หยุด
> จนพ่อหอบด้วยความเหนื่อย
> พ่อนั่งลงบนเก้าอี้ และด่าว่าน้องชายของฉัน
> " ของคนในบ้านแกเอง แกยังขโมยได้ต่อไปแกจะทำชั่วอะไรอีก
> แกน่าจะโดนตีให้ตาย ไอ้หัวขโมย"
> คืนนั้น ฉันกับแม่กอดน้องชายของฉันไว้
> หลังของน้องมีแผลเต็มไปหมด
> แต่เขาไม่ได้ร้องไห้แม้แต่น้อย
> กลางดึกคืนนั้น ฉันนอนร้องไห้เสียงดัง และนานมาก
> น้องเอามือเล็กๆ ของเขามาปิดปากฉันไว้ แล้วพูดว่า
> " พี่ครับ ไม่ต้องร้องไห้นะมันผ่านไปแล้ว"
> ยังไงฉันก็อดที่จะเกลียดตัวเองไม่ได้
> ที่ไม่มีความกล้าจะบอกความจริงกับพ่อ
> หลายปีผ่านไป
> แต่เหมือนกับว่าเหตุการณ์มันเพิ่งเกิดเมื่อวานนี้เอง
> ฉันไม่อาจลืมคำพูดของน้องชายตอนที่เขาปกป้องฉันได้เลย
> ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 8ปี ส่วนฉันอายุ 11ปี...
> เมื่อตอนที่น้องชายของฉันใกล้จบ ม.ต้น
> เขาได้รับการตอบรับจากโรงเรียน
> ม.ปลาย ว่าเขาสอบได้ ในขณะที่ฉันซึ่งใกล้จบ ม.ปลาย
> ก็ได้รับการตอบรับจากมหาวิทยาลัยของจังหวัดเช่นกัน
>
> คืนนั้น พ่อได้นั่งสูบบุหรี่อยู่ที่สวนหลังบ้าน
> ฉันแอบได้ยินพ่อพูดว่า " ลูกเราทั้งคู่เรียนดี เรียนดีมากนะ"
>
> แม่ซึ่งนั่งเช็ดน้ำตาอยู่ข้างๆ พ่อ ได้พูดว่า
> "แล้วเราจะส่งเสียลูกทั้งคู่ได้อย่างไร ในเมื่อเราก็ไม่ค่อยมีเงิน"
>
> ทันใดนั้น น้องชายของฉันได้เดินเข้าไปหาพ่อ แล้วพูดว่า
> " ผมไม่ต้องการเรียนต่อผมอ่านหนังสือมามากพอแล้ว"
>
> พ่อเหวี่ยงมือตบลงที่แก้มของน้องของฉันฉาดใหญ่
> "ทำไมถึงคิดโง่ๆ อย่างนี้
> ต่อให้พ่อต้องไปเป็นขอทานข้างถนน
> พ่อก็จะส่งแกทั้งคู่เรียนจนจบให้ได้"
>
> คืนนั้นทั้งคืน พ่อได้เดินไปตามบ้านต่างๆ ทั่วทั้งหมู่บ้าน
> เพื่อขอยืมเงิน
> ฉันค่อยๆ เอามือประคบแก้มบวมๆ ของน้องชายเบาๆ และคิดว่า
> " ต้องให้น้องได้เรียนต่อ
> ไม่เช่นนั้นเขาคงไม่อาจหลุดพ้นชีวิตลำบากเช่นนี้ไปได้"
>
> แต่ในขณะเดียวกัน
> ฉันก็ไม่อาจล้มเลิกความคิดอยากจะเรียนต่อไปได้
> ใครจะรู้ได้ ... วันต่อมาในตอนเช้ามืด
> น้องชายของฉันได้ออกจากบ้านไปพร้อมทั้งเสื้อผ้าติดตัวเพียง
> ไม่กี่ชิ้น
> และถั่วเพียงเล็กน้อยเพื่อประทังความหิว
> ก่อนไปเขาได้ทิ้งข้อความไว้ใต้หมอนของฉัน
> ขณะฉันกำลังหลับ
> " พี่ครับ การจะเข้ามหาวิทยาลัยได้ ไม่ใช่ง่ายๆ นะ ....
> ผมจะไปหางานทำ
> แล้วจะส่งเงินมาให้พี่"
>
> ฉันนั่งอยู่บนเตียง
> อ่านข้อความของน้องชายด้วยน้ำตานองหน้า ...
> ฉันร้องไห้จนเสียงแหบแห้งไป
> ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 17ปี ส่วนฉันอายุ 20ปี .
>
> ด้วยเงินที่พ่อยืมมาจากคนในหมู่บ้าน
> รวมกับเงินที่น้องชายของฉันได้รับเป็นค่าจ้างมาจากการทำงาน
> เป็นกรรมกรแบกหามที่ ไซท์ก่อสร้าง ...
> ฉันจึงสามารถเข้าเรียนมหาวิทยาลัยได้จนถึงปี 3
>
> วันหนึ่งขณะที่ฉันกำลังอ่านหนังสืออยู่ในห้องพัก
> เพื่อนร่วมห้องของฉันได้เข้ามาบอกว่า "มีชาวบ้านมาหาเธอ
> อยู่ข้างนอกแน่ะ"
>
> ทำไมชาวบ้านถึงมาหาฉันล่ะ ???
> ฉันเดินออกไปแล้วมองเห็นน้องชายของฉันยืนอยู่
> ตัวของเขาเปรอะเปื้อนไปด้วยฝุ่นปูนและทรายจากงาน
> ก่อสร้าง ...
> ฉันถามเขาว่า
> "ทำไมไม่บอกเพื่อนพี่ไปว่าเป็นน้องชายพี่ล่ะ"
> น้องชายของฉันตอบยิ้มๆ ว่า "ก็ดูผมสิ
> สกปรกมอมแมมออกอย่างนี้
> ขืนบอกว่าเป็นน้องพี่ เพื่อนๆ
> ก้อได้หัวเราะเยาะพี่กันพอดี"
>
> ฉันค่อยๆ เอื้อมมืออันสั่นเทาไปปัดฝุ่นให้น้อง
> และพยายามพูดด้วยเสียงเครือๆในลำคอ
> " พี่ไม่สนใจว่าใครจะพูดยังไง
> เธอเป็นน้องของพี่ ไม่ว่าเธอจะดูเป็นอย่างไรก็ตาม"
>
> จากนั้น น้องของฉันได้ล้วงบางอย่างออกมาจากกระเป๋ากางเกง
> เป็นกิ๊บหนีบผมรูปผีเสื้อ . เขาติดกิ๊บให้ฉัน
> แล้วพูดว่า
> "ผมเห็นสาวๆ ในเมืองเค้าติดกัน ผมเลยอยากให้พี่ติดบ้าง"
>
> ฉันหมดเรี่ยวแรงลงในทันใด
> ดึงน้องชายเข้ามาสวมกอดและร้องไห้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าเป็นเวลานาน
> ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 20 ปี ส่วนฉันอายุ 23 ปี .
>
> วันที่ฉันพาแฟนหนุ่มของฉันมาที่บ้านเป็นครั้งแรก
> ฉันสังเกตเห็นว่า
> หน้าต่างบ้านที่เคยแตกไป ได้ถูกซ่อมเรียบร้อยแล้ว
> เมื่อเข้าไปในบ้านก็เห็นว่าบ้านสะอาดขึ้นมาก
>
> หลังจากที่แฟนของฉันกลับไป ฉันพูดกับแม่ว่า
> "แม่ไม่ต้องเสียเงินเพื่อทำความสะอาดบ้านกับซ่อมกระจก
> เพียงเพราะหนูจะพาแฟนมาที่บ้านหรอกนะคะ"
>
> แม่ยิ้ม แล้วพูดว่า " แม่ไม่ได้จ้างหรอก
> น้องชายลูกต่างหาก
> วันนี้เค้าขอเลิกงานเร็วเพื่อกลับมาทำความสะอาดบ้าน
> ลูกยังไม่เห็นมือน้องหรอกเหรอ
> น้องโดนกระจกบาดตอนกำลังเปลี่ยนกระจกบานใหม่น่ะ"
>
> ฉันรีบเข้าไปหาน้องที่ห้องนอนของเขา
> ฉันรู้สึกเหมือนถูกเข็มนับร้อยเล่มทิ่มลงกลางใจเมื่อได้เห็นบาดแผลบนมือ
> ฉันจับมือน้องเอาไว้อย่างเบามือที่สุด "เจ็บมากไหม"
> ฉันถาม "ไม่เจ็บสักหน่อย พี่ก็รู้นี่ผมทำงานก่อสร้างนะ วันๆ
> มีหินตกมาใส่เท้าผมเต็มไปหมด
> แต่มันก็ไม่ได้ทำให้ผมคิดเลิกทำงานหรอกนะ
> และ..."
> น้องชายของฉันยังพูดไม่จบประโยค แต่ก็ต้องหยุดพูด
> เพราะฉันหันหน้าหนีเขา
> น้ำตาไหลอาบหน้าของฉันอีกครั้ง
> ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 23 ปี ส่วนฉันอายุ 26 ปี...
>
> หลังจากนั้น ฉันก็ได้แต่งงานและย้ายเข้าไปอยู่ในเมือง
> หลายครั้งที่สามีของฉันชักชวนให้พ่อแม่ของฉันย้ายเข้า
> มาอยู่ในเมืองด้วยกัน ...
> แต่ท่านทั้งสองก็ปฏิเสธ
> ท่านบอกว่า ท่านเคยย้ายออกจากหมู่บ้านครั้งหนึ่ง
> แต่เมื่อออกไปแล้ว ท่านไม่รู้จะทำอะไรดี
> จึงได้ย้ายกลับเข้ามาใช้ชีวิตในหมู่บ้านตามเดิม
> น้องชายของฉันก็ไม่เห็นด้วยกับการที่จะให้เขา
> และพ่อแม่ย้ายออกไป ...
> เขาบอกกับฉันว่า
> "พี่คอยอยู่ดูแลพ่อและแม่ของสามีพี่ทางนั้นเถอะ
> ผมจะดูแลพ่อและแม่ทางนี้เอง"
> สามีฉันได้ขึ้นเป็นประธานของบริษัทของครอบครัว
> เราทั้งคู่อยากให้น้องชายของฉันเข้ามารับตำแหน่ง
> ผู้จัดการบริษัท ...
> แต่น้องชายของฉันก็ไม่รับตำแหน่งนี้
> เขาขอเข้าทำงานในตำแหน่งพนักงานธรรมดา
>
> วันหนึ่ง น้องชายของฉันต้องปีนบันไดขึ้นไปซ่อมสายเคเบิล
> และตกลงมาเพราะโดนไฟดูด
> เขาถูกรีบหามส่งโรงพยาบาล
> ฉันและสามีรีบไปเยี่ยมเขาที่โรงพยาบาล
> น้องชายของฉันขาหักต้องเข้าเฝือกที่ขา
> ... ฉันโกรธมาก จึงตวาดน้องไปว่า
>
> " ทำไมถึงไม่ยอมรับตำแหน่งผู้จัดการ หา!!!
> ถ้าเป็นผู้จัดการก็จะได้ไม่ต้องมาทำงานเสี่ยงๆ อย่างนี้
> ดูตัวเองซิ
> เจ็บเจียนตายอยู่แล้ว ทำไมถึงไม่ยอมฟังพี่บ้าง"
>
> คำตอบจากปากน้องของฉันรวมถึงสีหน้าเคร่งเครียด
> ยังยืนยันความคิดเดิมของเขา
> "พี่ลองคิดถึงพี่เขยสิครับ พี่เขยเพิ่งจะได้เป็นประธาน
> ส่วนผมมันการศึกษาต่ำ
> ถ้าผมได้เป็นผู้จัดการ
> คงจะมีเสียงนินทาว่าร้ายเต็มไปหมด"
>
> น้ำตาปริ่มดวงตาของฉันรวมทั้งสามีของฉันด้วย .
> ฉันบอกกับน้องว่า
> "แต่ที่เธอไม่ได้เรียนต่อก็เพราะพี่..."
>
> "ทำไมต้องพูดถึงเรื่องที่ผ่านไปแล้วด้วยล่ะครับ"
> น้องชายของฉันจับมือฉันไว้
> ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 26ปี ส่วนฉันอายุ 29 ปี...
>
> เมื่อน้องชายของฉันอายุได้ 30 ปี
> เขาได้แต่งงานกับสาวชาวนาในหมู่บ้านเดียวกัน
>
> ในงานแต่งงาน ประธานในงานได้ถามน้องชายของฉันว่า
> " ใครคือคนที่คุณรักที่สุดในชีวิตนี้"
>
> น้องชายของฉันตอบอย่างไม่ลังเล "พี่สาวของผมครับ" .
> และเขาก็เล่าเรื่องราวที่แม้แต่ฉันยังจำไม่ได้
>
> "ตอนผมอยู่โรงเรียนประถม โรงเรียนอยู่อีกหมู่บ้านหนึ่ง
> เราสองคนพี่น้องต้องใช้เวลาถึง 2ชม. เพื่อเดินไปเรียน
> และเดินกลับบ้าน
> วันหนึ่งผมทำถุงมือหายไปข้างหนึ่ง
> พี่สาวผมจึงได้ให้ถุงมือของเธอข้างหนึ่ง
> และเธอก็ใส่ถุงมือเพียงข้างเดียวเดินเป็นระยะทางไกล
> เมื่อเรากลับถึงบ้านมือเธอบวมแดงเพราะอากาศหนาว
> เธอไม่สามารถจับช้อนทานข้าวได้ด้วยซ้ำ ... นับจากวันนั้น
>
> ผมสาบานกับตัวเอง
> ว่าตลอดชีวิตของผม ผมจะดูแลพี่สาวของผมให้ดี
> และจะทำดีกับเธอ"
>
> เสียงปรบมือดังกึกก้องไปทั่ว
> สายตาทุกคู่ของแขกเหรื่อหันมาจับจ้องที่ฉัน
>
> คำพูดจากปากฉันออกมาอย่างยากลำบาก ... "ในโลกใบนี้
> คนเดียวที่ฉันรู้สึกขอบคุณที่สุด คือน้องชายของฉันค่ะ"
>
> ในวาระที่มีความสุขที่สุดเช่นนี้
> น้ำตาได้รินไหลออกมาจากสองตาของฉันอีกครั้ง...
>
> จงรัก และห่วงใยคนที่คุณรักในทุกๆ
> วันในชีวิตของคุณและเขา
> คุณอาจจะคิดว่าสิ่งที่คุณทำให้ใครสักคนเป็นเพียงสิ่งเล็กๆ น้อยๆ
> แต่สำหรับคนคนนั้นอาจจะมีความหมายมากอย่างคาดไม่ถึง
> .. ไม่ว่าเขาคนนั้นจะคือ
>
> พ่อ แม่ พี่ น้อง ญาติ คนรัก เพื่อน
> หรือแม้คนที่คุณไม่รู้จัก ก็ตาม
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น