วันพุธที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2555

ติโรกุฑฑสูตร ว่าด้วยเปรตของพระเจ้าพิมพิสาร



 
ติโรกุฑฑสูตร ว่าด้วยเปรตของพระเจ้าพิมพิสาร หรือเปรตที่อยู่ภายนอกฝาเรือน

พระสูตรนี้กล่าวถึงเรื่องราวของพวกเปรต หรือญาติพี่น้องที่ล่วงลับไปแล้ว คำว่า เปตา แปลว่า ผู้ล่วงลับไปแล้ว หรือแปลให้เข้าใจง่ายก็คือ ผู้ที่ตายไปแล้ว ในที่นี้หมายเอาผู้ที่ไปเกิดในภพของเปรตหรือเปตวิสัย สัตว์จำพวกนี้จะถูกส่งกลับมาหาญาติปีละครั้งเพื่อรับทักษิณาหรือส่วนบุญจากญาติของตน  ถ้าเปรตตนไหนยังพอมีบุญอยู่บ้าง
  พวกญาติก็จะระลึกถึงแล้วก็จะจัดข้าวปลาอาหารและของควรเคี้ยวที่ญาติชอบไว้รอพวกญาติของตนด้วยการนำไปถวายพระสงฆ์แล้วอุทิศส่วนบุญให้ พวกเปรตเหล่านั้น 
เมื่อได้ส่วนบุญแล้วก็จะพากันให้พรแก่ญาติของตนตามอัธยาศัย เช่น ให้พรว่า ขอให้ญาติของจึงเจริญรุ่งเรือง บวงพวกก็จะคอยมาดูแลรักษาญาติของตนให้รอดพ้นจากอันตรายทั้งหลาย บางพวกบุญน้อยหรือมีกรรมเก่ายังหนักอยู่กลับมาแล้วญาติไม่ระลึกถึง จึงไม่ได้จัดไว้ พวกเปรตเหล่านั้นจะเสียใจร้องไห้กลับไป
ที่ พระพุทธองค์ตรัสพระสูตรนี้เพราะสืบเนื่องมาจากเปรตที่เคยเป็นญาติของพระเจ้า พิมพิสาร พระราชาแห่งแคว้นมคธ มาเข้าปรากฏให้เห็นในความฝันด้วยรูปร่างผอมดำและเปลือยกาย  พระองค์จึงทำบุญอุทิศไปให้ พวกเปรตเหล่านั้นจึงพ้นจากสภาพนั้นกลายเป็นผู้มีร่างกายสมบูรณ์ผิวพรรณ ผ่องใส สวมใส่เสื้อผ้างดงาม
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ที่ภพของพวกเปรตนั้นไม่มีการทำไร่ไถนา ไม่มีการเลี้ยงวัวเลี้ยงควาย ไม่มีการค้าขายด้วยเงินและทองเหมือนในโลกมนุษย์พวกเปรตเหล่านั้นมีชีวิตอยู่ได้ด้วยทานที่พวกญาติอุทิศไปให้
อาจจะมีคำถามว่า แล้วทานที่พวกญาติอุทิศไปให้แต่โลกนี้จะถึงพวกญาติเหล่านั้นหรือ พระองค์ยืนยันว่า ถึง  ทรงอุปมาให้ฟังว่า เปรียบเหมือนน้ำฝนที่ตกลงที่ ดอน ย่อมไหลไปสู่ที่ลุ่ม ฉันใด ทานที่ทายกถวายแต่โลกนี้ย่อมสำเร็จแก่ญาติผู้ที่ล่วงลับไป ฉันนั้น และเปรียบเหมือนห้วงน้ำที่เต็มด้วยน้ำ ย่อมทำให้มหาสมุทรเต็มได้ฉันใด ทานที่ญาติถวายแล้วแต่โลกนี้ย่อมสำเร็จแก่ผู้ที่ล่วงลับไปแล้วฉันนั้น
พระ สูตรนี้พระสงฆ์นำมาเป็นบทอนุโมทนาเวลาญาติโยมทำบุญอุทิศแก่ญาติผู้เสีย ชีวิต  แต่ในประเทศไทย นำมาเฉพาะส่วนสุดท้วย คือ เริ่มตั้งแต่ อะทาสิ เม อะกาสิ เม เป็นต้นไป  
พระสูตรนี้อยู่ในพระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๕ ขุททกนิกาย ขุททกปาฐะ 

. ติโรกุฑฑสูตร๑
ว่าด้วยเรื่องเปรตที่อยู่ภายนอกฝาเรือน
(พระผู้มีพระภาคตรัสพระคาถานี้ เพื่ออนุโมทนาพระเจ้าพิมพิสารจอมทัพมคธรัฐ        ดังนี้)
          []               พวกเปรตพากันมาสู่เรือนของตน๓ 
          บ้างยืนอยู่ที่ฝาเรือนด้านนอก
          บ้างยืนอยู่ที่ทางสี่แพร่ง สามแพร่ง
          บ้างยืนพิงอยู่ที่บานประตู
          []               เมื่อมีข้าวและน้ำดื่มมากมาย
          เมื่อของเคี้ยวของกินถูกจัดเตรียมไว้แล้ว
          ญาติสักคนก็ไม่นึกถึงเปรตเหล่านั้น
          เพราะกรรมของสัตว์เหล่านั้นเป็นปัจจัย
          []               เหล่าชนผู้อนุเคราะห์ ย่อมถวายอาหารและน้ำดื่ม
          ที่สะอาดประณีต เหมาะแก่พระสงฆ์ตามกาล
          อุทิศให้ญาติทั้งหลาย(ที่เกิดเป็นเปรต)อย่างนี้ว่า
          ขอทานนี้จงสำเร็จแก่ญาติทั้งหลายของเรา
          ขอญาติทั้งหลาย จงเป็นสุขเถิด
          []               ส่วนญาติที่เกิดเป็นเปรตเหล่านั้น
          พากันมาประชุมพร้อมกัน ณ ที่ให้ทานนั้น
          ย่อมอนุโมทนาในอาหารและน้ำดื่มเป็นอันมากโดยเคารพว่า
          []               เพราะเหตุแห่งญาติเหล่าใด พวกเราจึงได้สุขสมบัติเช่นนี้
          ขอญาติเหล่านั้นของพวกเราจงมีอายุยืน
          อนึ่ง  การบูชา  ญาติผู้เป็นทายกก็ได้ทำแก่พวกเราแล้ว
          และทายกก็ไม่ไร้ผล
          []               ในเปตวิสัย๑นั้น ไม่มีกสิกรรม (การทำไร่ไถนา)
          ไม่มีโครักขกรรม (การเลี้ยงวัวไว้ขาย)
          ไม่มีพาณิชกรรม (การค้าขาย) เช่นนั้น
          การแลกเปลี่ยนซื้อขายด้วยเงิน ก็ไม่มี
          ผู้ที่ตายไปเกิดเป็นเปรตในเปตวิสัยนั้น
          ดำรงชีพด้วยผลทานที่พวกญาติอุทิศให้จากมนุษยโลกนี้
          []               น้ำฝนที่ตกลงมาในที่ดอนย่อมไหลไปสู่ที่ลุ่ม  ฉันใด
          ทานที่ทายกอุทิศให้จากมนุษยโลกนี้
          ย่อมสำเร็จผลแน่นอนแก่พวกเปรต  ฉันนั้นเหมือนกัน
          []               ห้วงน้ำที่เต็มย่อมยังสมุทรสาครให้เต็มเปี่ยม  ฉันใด
          ทานที่ทายกอุทิศให้จากมนุษยโลกนี้
          ย่อมสำเร็จแก่เปรตทั้งหลาย  ฉันนั้นเหมือนกัน
          []               กุลบุตรเมื่อระลึกถึงอุปการะ
          ที่ญาติผู้ละไปแล้ว(เปรต)เคยทำไว้ในกาลก่อนว่า
          ผู้นั้นได้ให้สิ่งนี้แก่เรา  ได้ทำสิ่งนี้แก่เรา
          ได้เป็นญาติ  มิตร  และสหายของเราž
          ก็ควรถวายทักษิณาทานอุทิศให้แก่ญาติผู้ละไปแล้ว
          [๑๐]             การร้องไห้  ความเศร้าโศก
          หรือความร่ำไห้คร่ำครวญอย่างอื่นใด
          ใคร ๆ ไม่ควรทำเลย  เพราะการร้องไห้  เป็นต้นนั้น
          ไม่เป็นประโยชน์แก่ญาติผู้ล่วงลับไปแล้ว
          ญาติทั้งหลายก็ยังคงสภาพอยู่อย่างนั้น
          [๑๑]             ส่วนทักษิณาทานนี้แล  ที่ตั้งไว้ดีแล้วในพระสงฆ์
          ย่อมสำเร็จประโยชน์เกื้อกูลสิ้นกาลนาน
          แก่หมู่ญาติที่เกิดเป็นเปรตนั้น  โดยพลันทีเดียว
          [๑๒]             ญาติธรรม๑นี้นั้น  ท่านแสดงออกแล้ว
          การบูชาญาติที่ตายไปเป็นเปรต ท่านทำอย่างยิ่งใหญ่แล้ว
          ทั้งกำลังกายของภิกษุ ท่านก็เพิ่มให้แล้ว
          เป็นอันว่าท่านสั่งสมบุญไว้มิใช่น้อยเลย

ติโรกุฑฑสูตร จบ

วันจันทร์ที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2555

นิธิกัณฑสูตร ว่าด้วยการฝังขุมทรัพย์


 พระสูตรนี้มีเนื้อหาเป็นประโยชน์ต่อชาวพุทธมากเพราะพูดถึงการฝังขุมทรัพย์ ซึ่งเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการฝังขุมทรัพย์ สามารถนำไปปฏิบัติในชีวิตจริงได้ ถึงแม้ว่าทุกวันนี้จะมีธนาคารเป็นสถาบันหลักในการฝากทรัพย์ แต่การนำเงินไปฝากธนาคารก็ยังไม่มั่นคงอยู่ดี เพราะเรายังสามารถไปเบิกมาใช้ได้ เผลอๆ อาจถูกโจรกรรมไปได้ดังที่มีข่าวปรากฏอยู่บ่อยๆ และทรัพย์ที่ฝากไว้กับธนาคารก็ยังไม่ใช่ของเราอย่างแท้จริง เหตุที่ไม่สามารถติดตามเราไปในโลกหน้าหรือภพหน้าได้ การฝังขุมทรัพย์ในพระสูตรนี้สรุปได้ดังนี้ 
ในสมัยโบราณนิยมฝังขุมทรัพย์ไว้ในดินลึกจนถึงน้ำก็มี เพื่อประโยชน์ต่างๆ  พอสรุปจุดมุ่งหมายสำคัญของการฝังขุมทรัพย์ได้ ดังนี้

๑. เพื่อให้พ้นจากราชภัย
๒. เพื่อให้พ้นจากโจรภัย
๓. เพื่อใช้หนี้
๔. เพื่อใช้ในยามเกิดทุพภิกขภัย (ยามข้าวยากหมากแพง) 
๕. และเพื่อใช้ในยามมีภัยต่างๆ เกิดขึ้น

พระพุทธองค์ตรัสว่า การฝังขุมทรัพย์ไว้อย่างนั้นยังไม่ปลอดภัย ยังอาจหายได้ ด้วยเหตุหลายอย่างเช่น 
๑. ขุมทรัพย์เคลื่อนที่ไปจากที่เดิม
๒. บางทีตัวเองก็ลืมที่ฝังไว้ หรือลืมไปเลยคือนึกไม่ได้ว่าเคยฝังขุมทรัพย์ไว้
๓. บางทีนาคเคลื่อนย้ายไปก็มี
๔. บางทียักษ์นำไปก็มี
๕. บางทีญาติพี่น้องที่ชอบกันขโมยไปก็มี 
๖. บางทีเจ้าของทรัพย์ตายไปก่อนที่จะขุดทรัพย์ขึ้นมาใช้ก็มี 
ทรัพย์เหล่านั้นเลยไม่เกิดประโยชน์แก่เจ้าของทรัพย์และญาติพี่น้อง

พระพุทธองค์จึงเสนอให้ฝังขุมทรัพย์ด้วยวิธีใหม่ที่พระองค์ทรงรับรองว่าปลอดภัยและทรัพย์เหล่านั้นจะติดตามเราไปทุกหนทุกแห่งที่เราไปทั้งในโลกนี้และโลกหน้า วิธีฝังขุมทรัพย์ที่พระองค์แนะนำ คือ ฝังไว้ด้วย

๑.​ การให้ทาน
๒. ด้วยการรักษาศีล
๓. ด้วยการสำรวมกาย วาจา ใจ
๔. ด้วยการฝึกฝนอบรมตน
๔.ฝังไว้ในเจดีย์ (ถวายสร้างเจดีย์ หรือบำรุงเจดีย์)
๕. ในพระสงฆ์ (ถวายพระสงฆ์ไม่ใช่ขุดพระสงฆ์แล้วฝังไว้)
๖. ในบุคคลผู้เป็นแขกมาหา
๗. ฝังไว้ในมารดา 
๘. ฝังไว้ในบิดา
๙. ฝังไว้ในพี่ชาย 
 ทรัพย์ที่ฝังไว้ด้วยวิธีนี้ นอกจากจะปลอดภัยและติดตามเราทุกที่แล้วยังนำผลอย่างอื่นมาให้เราอีกมากมาย ดังที่พระองค์ตรัสไว้ ดังนี้ 

๑. มีผิวพรรณงดงาม
๒. มีเสียงไพเราะ
๓. มีทรวดทรงสมส่วน
๔. มีรูปสวย
๕. ได้ความเป็นใหญ่
๖. มีบริวาร
๗. ได้เป็นพระราชาในประเทศ
๘. ได้ความเป็นอิสระ
๙. ได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ์
๑๐. ได้เป็นพระราชาของพวกเทวดา (พระอินทร์/ท้าวสักกะ)
๑๑. ได้มนุษย์สมบัติ
๑๒. ได้สวรรค์สมบัติ
๑๓. ได้บรรลุนิพพาน
๑๔. ได้ความชำนาญในวิชชาและวิมุตติ
๑๕. ได้ปฏิสัมภิทา 
๑๖. ได้วิโมกข์ 
๑๗. ได้เป็นอัครสาวก (ของพระพุทธเจ้า)
๑๘. ได้บรรลุปัจเจกโพธิญาณ
๑๙. ได้พุทธภูมิ (ปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้า หรือได้เป็นพระพุทธเจ้า)

         พระสูตรนี้อยู่ในพระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๕ ขุททกนิกาย ขุททกปาฐะ 

    
 ๘. นิธิกัณฑสูตร
ว่าด้วยการฝังขุมทรัพย์

(พระผู้มีพระภาคตรัสพระคาถานี้แก่กุฎุมพีคนหนึ่งในกรุงสาวัตถี ดังนี้)
         [๑]              คนเราฝังขุมทรัพย์๒ไว้ในที่ลึกจดถึงน้ำก็ด้วยคิดว่า
         เมื่อเกิดกิจที่จำเป็นขึ้น  ขุมทรัพย์นี้จะเป็นประโยชน์แก่เรา
         [๒]              คนเราฝังขุมทรัพย์ไว้ในโลก  ก็เพื่อจุดประสงค์นี้ คือ
         เพื่อให้พ้นจากราชภัยที่คอยคุกคาม
         เพื่อให้พ้นจากโจรภัยที่คอยเบียดเบียน
         เพื่อเก็บไว้ใช้หนี้ก็มี เพื่อเก็บไว้ใช้ในยามเกิดทุพภิกขภัย๓
         หรือเพื่อใช้ในเวลามีภัยอันตรายต่าง ๆ
         [๓]              ขุมทรัพย์ที่เขาฝังไว้อย่างดีในที่ลึกจดน้ำถึงเพียงนั้น
         จะสำเร็จประโยชน์แก่เขาไปทั้งหมด ตลอดเวลาก็หาไม่
         [๔]              เพราะบางทีขุมทรัพย์ก็เคลื่อนที่ไปก็มี
         บางทีเขาลืมที่ฝังไว้ก็มี
         บางทีพวกนาคเคลื่อนย้ายก็มี
         บางทีพวกยักษ์นำขุมทรัพย์นั้นไปก็มี
         [๕]              หรือบางทีเมื่อเขาไม่เห็นทายาทผู้ไม่เป็นที่รักขโมยขุดเอาไปก็มี
         เมื่อเขาสิ้นบุญ ขุมทรัพย์ที่ฝังไว้ทั้งหมดนั้นก็พินาศหายไป
         [๖]              ขุมทรัพย์๑ที่ผู้ใดจะเป็นสตรีก็ตาม เป็นบุรุษก็ตาม  
         ฝังไว้ดีแล้ว ด้วยทาน ศีล สัญญมะ และทมะ
         [๗]              ในพระเจดีย์ พระสงฆ์ บุคคล แขกที่มาหา
         ในมารดา บิดา หรือพี่ชาย
         [๘]              ขุมทรัพย์นี้ชื่อว่าฝังไว้ดีแล้ว คนอื่นขนเอาไปไม่ได้
         จะติดตามคนฝังตลอดไป
         บรรดาทรัพย์สมบัติที่เขาจำต้องละไป      
         เขาพาไปได้เฉพาะขุมทรัพย์นี้เท่านั้น
         [๙]              ขุมทรัพย์นี้ไม่ทั่วไปแก่คนเหล่าอื่น ทั้งโจรก็ลักเอาไปไม่ได้
         ผู้มีปัญญาควรทำแต่บุญที่จะเป็นขุมทรัพย์ติดตามตนตลอดไป
         [๑๐]             ขุมทรัพย์นี้ให้ผลอันน่าปรารถนาทุกประการ
         แก่เทวดา  และมนุษย์  คือเทวดาและมนุษย์ปรารถนาผลใด ๆ
         ผลนั้น ๆ ทุกอย่าง จะได้ด้วยขุมทรัพย์นี้
         [๑๑]             ความมีผิวพรรณงดงาม ความมีเสียงไพเราะ
         ความมีทรวดทรงสมส่วน ความมีรูปสวย
         ความเป็นใหญ่ ความมีบริวาร  ทั้งหมดจะได้ด้วยขุมทรัพย์นี้
         [๑๒]            ความเป็นพระราชาในประเทศ  ความเป็นอิสระ
         ความสุขของความเป็นพระเจ้าจักรพรรดิอันน่าพอใจ
         และแม้ความเป็นเทวราชของเทวดาในหมู่เทพ
         ทั้งหมดก็จะได้ด้วยขุมทรัพย์นี้
         [๑๓]            สมบัติของมนุษย์ก็ดี ความยินดีในเทวโลกก็ดี
         สมบัติคือนิพพานก็ดี ทั้งหมดจะได้ด้วยขุมทรัพย์นี้
         [๑๔]             บุคคลอาศัยมิตตสัมปทา
         ประกอบความเพียรโดยแยบคาย
         ก็จะเป็นผู้ชำนาญในวิชชาและวิมุตติ
         ทั้งหมดจะได้ด้วยขุมทรัพย์นี้
         [๑๕]             ปฏิสัมภิทา  วิโมกข์  สาวกบารมี
         ปัจเจกโพธิ  และพุทธภูมิ
         ทั้งหมดจะได้ด้วยขุมทรัพย์นี้
         [๑๖]             บุญสัมปทานี้มีประโยชน์มากอย่างนี้
         เพราะฉะนั้น  บัณฑิตผู้เป็นปราชญ์
         จึงสรรเสริญภาวะแห่งบุญที่ทำไว้แล้ว


นิธิกัณฑสูตร จบ

วันพุธที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2555

คลิปวัดเถรวาทในเกาหลีใต้ (วัดสังฆราชฝ่ายเถรวาท)

คลิปทัศนศึกษาเกาหลีใต้ (ต่อ๕)

คลิปสามเณรยืนท้ายรถสองแถว

คลิปทัศนศึกษาเกาหลีใต้ (ต่อ๔)

คลิปทัศนศึกษาเกาหลีใต้ (ต่อ๓)

คลิปทัศนศึกษาเกาหลีใต้ (ต่อ๒)

คลิปทัศนศึกษาเกาหลีใต้ (ต่อ)