ติโรกุฑฑสูตร ว่าด้วยเปรตของพระเจ้าพิมพิสาร
หรือเปรตที่อยู่ภายนอกฝาเรือน
พระสูตรนี้กล่าวถึงเรื่องราวของพวกเปรต
หรือญาติพี่น้องที่ล่วงลับไปแล้ว คำว่า “เปตา”
แปลว่า ผู้ล่วงลับไปแล้ว หรือแปลให้เข้าใจง่ายก็คือ ผู้ที่ตายไปแล้ว
ในที่นี้หมายเอาผู้ที่ไปเกิดในภพของเปรตหรือเปตวิสัย
สัตว์จำพวกนี้จะถูกส่งกลับมาหาญาติปีละครั้งเพื่อรับทักษิณาหรือส่วนบุญจากญาติของตน
ถ้าเปรตตนไหนยังพอมีบุญอยู่บ้าง
พวกญาติก็จะระลึกถึงแล้วก็จะจัดข้าวปลาอาหารและของควรเคี้ยวที่ญาติชอบไว้รอพวกญาติของตนด้วยการนำไปถวายพระสงฆ์แล้วอุทิศส่วนบุญให้
พวกเปรตเหล่านั้น
เมื่อได้ส่วนบุญแล้วก็จะพากันให้พรแก่ญาติของตนตามอัธยาศัย
เช่น ให้พรว่า ขอให้ญาติของจึงเจริญรุ่งเรือง บวงพวกก็จะคอยมาดูแลรักษาญาติของตนให้รอดพ้นจากอันตรายทั้งหลาย
บางพวกบุญน้อยหรือมีกรรมเก่ายังหนักอยู่กลับมาแล้วญาติไม่ระลึกถึง จึงไม่ได้จัดไว้
พวกเปรตเหล่านั้นจะเสียใจร้องไห้กลับไป
ที่
พระพุทธองค์ตรัสพระสูตรนี้เพราะสืบเนื่องมาจากเปรตที่เคยเป็นญาติของพระเจ้า
พิมพิสาร พระราชาแห่งแคว้นมคธ
มาเข้าปรากฏให้เห็นในความฝันด้วยรูปร่างผอมดำและเปลือยกาย พระองค์จึงทำบุญอุทิศไปให้
พวกเปรตเหล่านั้นจึงพ้นจากสภาพนั้นกลายเป็นผู้มีร่างกายสมบูรณ์ผิวพรรณ ผ่องใส
สวมใส่เสื้อผ้างดงาม
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
ที่ภพของพวกเปรตนั้นไม่มีการทำไร่ไถนา ไม่มีการเลี้ยงวัวเลี้ยงควาย
ไม่มีการค้าขายด้วยเงินและทองเหมือนในโลกมนุษย์พวกเปรตเหล่านั้นมีชีวิตอยู่ได้ด้วยทานที่พวกญาติอุทิศไปให้
อาจจะมีคำถามว่า
แล้วทานที่พวกญาติอุทิศไปให้แต่โลกนี้จะถึงพวกญาติเหล่านั้นหรือ พระองค์ยืนยันว่า
ถึง
ทรงอุปมาให้ฟังว่า เปรียบเหมือนน้ำฝนที่ตกลงที่ ดอน
ย่อมไหลไปสู่ที่ลุ่ม ฉันใด
ทานที่ทายกถวายแต่โลกนี้ย่อมสำเร็จแก่ญาติผู้ที่ล่วงลับไป ฉันนั้น
และเปรียบเหมือนห้วงน้ำที่เต็มด้วยน้ำ ย่อมทำให้มหาสมุทรเต็มได้ฉันใด
ทานที่ญาติถวายแล้วแต่โลกนี้ย่อมสำเร็จแก่ผู้ที่ล่วงลับไปแล้วฉันนั้น
พระ สูตรนี้พระสงฆ์นำมาเป็นบทอนุโมทนาเวลาญาติโยมทำบุญอุทิศแก่ญาติผู้เสีย
ชีวิต
แต่ในประเทศไทย นำมาเฉพาะส่วนสุดท้วย คือ เริ่มตั้งแต่ อะทาสิ เม
อะกาสิ เม เป็นต้นไป
พระสูตรนี้อยู่ในพระไตรปิฎกเล่มที่
๒๕ ขุททกนิกาย ขุททกปาฐะ
๗. ติโรกุฑฑสูตร๑
ว่าด้วยเรื่องเปรตที่อยู่ภายนอกฝาเรือน
(พระผู้มีพระภาคตรัสพระคาถานี้
เพื่ออนุโมทนาพระเจ้าพิมพิสารจอมทัพมคธรัฐ
ดังนี้)
[๑] พวกเปรตพากันมาสู่เรือนของตน๓
บ้างยืนอยู่ที่ฝาเรือนด้านนอก
บ้างยืนอยู่ที่ทางสี่แพร่ง สามแพร่ง
บ้างยืนพิงอยู่ที่บานประตู
[๒] เมื่อมีข้าวและน้ำดื่มมากมาย
เมื่อของเคี้ยวของกินถูกจัดเตรียมไว้แล้ว
ญาติสักคนก็ไม่นึกถึงเปรตเหล่านั้น
เพราะกรรมของสัตว์เหล่านั้นเป็นปัจจัย
[๓] เหล่าชนผู้อนุเคราะห์ ย่อมถวายอาหารและน้ำดื่ม
ที่สะอาดประณีต เหมาะแก่พระสงฆ์ตามกาล
อุทิศให้ญาติทั้งหลาย(ที่เกิดเป็นเปรต)อย่างนี้ว่า
ขอทานนี้จงสำเร็จแก่ญาติทั้งหลายของเรา
ขอญาติทั้งหลาย จงเป็นสุขเถิด
[๔] ส่วนญาติที่เกิดเป็นเปรตเหล่านั้น
พากันมาประชุมพร้อมกัน ณ ที่ให้ทานนั้น
ย่อมอนุโมทนาในอาหารและน้ำดื่มเป็นอันมากโดยเคารพว่า
[๕] เพราะเหตุแห่งญาติเหล่าใด พวกเราจึงได้สุขสมบัติเช่นนี้
ขอญาติเหล่านั้นของพวกเราจงมีอายุยืน
อนึ่ง
การบูชา ญาติผู้เป็นทายกก็ได้ทำแก่พวกเราแล้ว
และทายกก็ไม่ไร้ผล
[๖] ในเปตวิสัย๑นั้น ไม่มีกสิกรรม (การทำไร่ไถนา)
ไม่มีโครักขกรรม (การเลี้ยงวัวไว้ขาย)
ไม่มีพาณิชกรรม (การค้าขาย)
เช่นนั้น
การแลกเปลี่ยนซื้อขายด้วยเงิน ก็ไม่มี
ผู้ที่ตายไปเกิดเป็นเปรตในเปตวิสัยนั้น
ดำรงชีพด้วยผลทานที่พวกญาติอุทิศให้จากมนุษยโลกนี้
[๗] น้ำฝนที่ตกลงมาในที่ดอนย่อมไหลไปสู่ที่ลุ่ม ฉันใด
ทานที่ทายกอุทิศให้จากมนุษยโลกนี้
ย่อมสำเร็จผลแน่นอนแก่พวกเปรต ฉันนั้นเหมือนกัน
[๘] ห้วงน้ำที่เต็มย่อมยังสมุทรสาครให้เต็มเปี่ยม ฉันใด
ทานที่ทายกอุทิศให้จากมนุษยโลกนี้
ย่อมสำเร็จแก่เปรตทั้งหลาย ฉันนั้นเหมือนกัน
[๙] กุลบุตรเมื่อระลึกถึงอุปการะ
ที่ญาติผู้ละไปแล้ว(เปรต)เคยทำไว้ในกาลก่อนว่า
ผู้นั้นได้ให้สิ่งนี้แก่เรา ได้ทำสิ่งนี้แก่เรา
ได้เป็นญาติ
มิตร และสหายของเรา
ก็ควรถวายทักษิณาทานอุทิศให้แก่ญาติผู้ละไปแล้ว
[๑๐] การร้องไห้ ความเศร้าโศก
หรือความร่ำไห้คร่ำครวญอย่างอื่นใด
ใคร ๆ ไม่ควรทำเลย เพราะการร้องไห้ เป็นต้นนั้น
ไม่เป็นประโยชน์แก่ญาติผู้ล่วงลับไปแล้ว
ญาติทั้งหลายก็ยังคงสภาพอยู่อย่างนั้น
[๑๑] ส่วนทักษิณาทานนี้แล ที่ตั้งไว้ดีแล้วในพระสงฆ์
ย่อมสำเร็จประโยชน์เกื้อกูลสิ้นกาลนาน
แก่หมู่ญาติที่เกิดเป็นเปรตนั้น โดยพลันทีเดียว
[๑๒] ญาติธรรม๑นี้นั้น ท่านแสดงออกแล้ว
การบูชาญาติที่ตายไปเป็นเปรต
ท่านทำอย่างยิ่งใหญ่แล้ว
ทั้งกำลังกายของภิกษุ ท่านก็เพิ่มให้แล้ว
เป็นอันว่าท่านสั่งสมบุญไว้มิใช่น้อยเลย
ติโรกุฑฑสูตร จบ