วันศุกร์ที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2554

ภาพนายกยิ่งลักษณ์ นำข้าราชการและประชาชนเข้าถวายพระพรเนื่องในวันแม่แห่งชาติ




 

นายกรัฐมนตรีกล่าวถวายพระพรชัยมงคลแด่สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ

คำกราบบังคมทูลถวายพระพรชัยมงคล สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ผู้กราบบังคมทูล ณ ศาลาดุสิดาลัย สวนจิตรลดา วันพฤหัสบดีที่ 11 สิงหาคม 2553 เวลา 17.00 น.



ขอเดชะฝ่าละอองธุลีพระบาทปกเกล้าปกกระหม่อม


เนื่องในมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษาในใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทได้เวียนมาบรรจบอีกคำรบหนึ่งในวันที่ 12 สิงหาคม ศกนี้ ข้าพระพุทธเจ้า นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ในนามของพสกนิกรชาวไทยทุกหมู่เหล่า มีความปลาบปลื้มปีติ สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้น ที่ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทได้พระราชทานพระราชวโรกาสให้ปวงข้าพระพุทธเจ้าเข้า เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทถวายพระพรชัยมงคลด้วยความจงรักภักดีดังเช่นที่ ปฏิบัติตลอดมา

ข้าพระพุทธเจ้าและประชาชนชาวไทยทั้งปวงต่างชื่นชมโสมนัสเป็นอย่างยิ่ง ที่ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทมีพระสุขภาพพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรง ทรงพระเกษมสำราญ ทรงมุ่งมั่นปฏิบัติพระราชกรณียกิจนานัปการ เพื่อยังประโยชน์สุขแก่อาณาประชาราษฎร์เสมอมา ด้วยน้ำพระราชหฤทัยเปี่ยมด้วย พระเมตตากรุณาต่อพสกนิกร
ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทได้โดยเสด็จพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเยี่ยมราษฎรในท้องถิ่นต่างๆ ทั่วราชอาณาจักร แม้ในพื้นที่ทุรกันดารห่างไกลความเจริญ ก็มิได้ทรงย่อท้อต่อความลำบากตรากตรำพระวรกาย จึงทรงทราบถึงวิถีชีวิตของราษฎรและปัญหาความยากจน การประกอบอาชีพไม่ได้ผล สิ่งแวดล้อมเสื่อมโทรม ปัญหาด้านสุขภาพอนามัย ความด้อยโอกาส และปัญหาอื่นๆ ซึ่งได้ทรงพระกรุณาหาทางแก้ไข เพื่อให้พสกนิกรพ้นจากความยากไร้ และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น เป็นที่มาของโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริของใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท และโครงการที่ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทรับสนองพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเป็นจำนวนมาก ทั้งโครงการด้านการเกษตร การประกอบอาชีพ การศึกษา การสาธารณสุข การศาสนา การสังคมสงเคราะห์ การอนุรักษ์และเผยแพร่ศิลปวัฒนธรรมอันเป็นเอกลักษณ์ของชาติ ตลอดจนการฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติ เช่น โครงการป่ารักน้ำ โครงการบ้านเล็กในป่าใหญ่ โครงการป่าเฉลิมพระเกียรติ โครงการธงรักษาป่า โครงการฟาร์มตัวอย่าง โครงการหมอชาวบ้าน โครงการสร้างปะการังเทียม โครงการธนาคารอาหาร โครงการศิลปาชีพ เป็นต้น ซึ่งพระราชกรณียกิจนานัปการที่ทรงพระวิริยอุตสาหะปฏิบัติบำเพ็ญ ล้วนแต่เพื่อขจัดทุกข์ผดุงสุขของราษฎรทั่วทุกภูมิภาคของประเทศ

แม้ในปัจจุบัน ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทก็ยังทรงพระกรุณาทรงงานติดตามสืบสานการพัฒนาด้านต่าง ๆ ให้ดำเนินไปตามแนวพระราชดำริที่พระราชทานไว้อย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ ในยามที่พสกนิกรประสบภัยพิบัติจากธรรมชาติ ก็ได้ทรงพระกรุณาพระราชทานพระราชทรัพย์และพระราชานุเคราะห์แก่ราษฎรอย่างทันท่วงทีสม่ำเสมอ อีกทั้งยังทรงปลอบขวัญและพระราชทานพระกำลังใจให้มุ่งมั่นฝ่าฟันทุกข์ภัยทั้งปวงให้ผ่านพ้นไปด้วยดี ส่วนพสกนิกรที่ได้รับอันตรายหรือเจ็บทุกข์ป่วยทรมาน ประสบความยากลำบากปราศจากที่พึ่ง เมื่อความทราบถึงพระเนตรพระกรรณ ก็ทรงพระกรุณารับไว้ในพระราชานุเคราะห์

พระเมตตากรุณาเอื้ออาทรต่อทวยราษฎร์ และพระวิริยอุตสาหะ ทรงบำเพ็ญพระราชกรณียกิจนานัปการ เพื่อขจัดทุกข์ผดุงสุข แก่พสกนิกรใต้เบื้องพระบารมีตลอดมา พระเกียรติคุณของใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท จึงแผ่ไพศาล ทั้งในประเทศและนานาประเทศ ดังปรากฏว่า องค์กรและสถาบันต่างๆ ได้ขอพระราชทานทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายปริญญา ถวายรางวัล และประกาศ พระเกียรติคุณต่างๆ เป็นจำนวนมาก แต่เหนือสิ่งอื่นใด คือ ความสำนึกของปวงชนชาวไทยในพระมหากรุณาธิคุณล้นเกล้าล้นกระหม่อมหาที่สุดมิได้ และล้วนมีความจงรักภักดีต่อใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท อย่างมิเสื่อมคลาย

เนื่องในวันมหามงคลสมัยเฉลิมพระชนมพรรษา ในใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท ได้เวียนมาบรรจบอีกวาระหนึ่งในวันที่ 12 สิงหาคม พุทธศักราช 2554 นี้ ข้าพระพุทธเจ้า พร้อมด้วยพสกนิกรทุกหมู่เหล่า ผู้มีความจงรักภักดี ขอพระราชทานน้อมเกล้าน้อมกระหม่อม ถวายพระพรชัยมงคล ขออำนาจคุณพระศรีรัตนตรัยและสรรพสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในสากล โปรดอภิบาลบันดาลดลให้สมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถ ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน ทรงพระเกษมสำราญ พระเกียรติคุณแผ่ไพศาล มีพระราชประสงค์จำนงใดขอจงสัมฤทธิ์ผล สถิตเป็นพระมิ่งขวัญคู่พระบารมีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และทรงเป็นร่มโพธิ์ทอง ของพสกนิกรโดยทั่วถ้วน ตราบกาลนิรันดร์ เทอญ


ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ขอเดชะ




 
พระราชดำรัส สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ

ทรงมีต่อนายกรัฐมนตรี และพสกนิกรชาวไทยทุกหมู่เหล่า

      
ข้าพเจ้า ขอขอบคุณท่านนายกรัฐมนตรี และผู้แทนของข้าราชการทุกหมู่เหล่า ทั้งฝ่ายบริหาร ฝ่ายนิติบัญญัติ ฝ่ายตุลาการ ทหาร ตำรวจ พลเรือน รวมทั้งผู้แทนของสภา สมาคม องค์กรต่างๆ ซึ่งล้วนเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนบ้านเมืองของเราให้เจริญก้าวหน้า รวมทั้งนิสิต นักศึกษา และประชาชน จำนวน 15,304 คน ที่มาชุมนุมพร้อมกัน ณ ที่นี้ เพื่ออวยพรวันเกิดให้แก่ข้าพเจ้า ซึ่งมีอายุครบ 79 ปี ไม่ใช่น้อย ท่านทั้งหลายก็เป็นกำลังใจให้มาก
      
ขอขอบคุณผู้ที่ส่งจดหมาย และคำประพันธ์จำนวนมาก ไปอวยพรข้าพเจ้า ขอขอบคุณหน่วยงาน และบริษัท ห้างร้านหลายแห่ง ที่ส่งคำอวยพรผ่านทางโทรทัศน์ วิทยุ หนังสือพิมพ์ และสื่อสารมวลชนแขนงต่างๆ บางหน่วยงานบำเพ็ญสาธารณกุศล หรือบำเพ็ญประโยชน์แก่บ้านเมืองเพื่อข้าพเจ้า เช่น โรงพยาบาลที่จัดทำโครงการช่วยชีวิตคนไข้เป็นจำนวนมาก
      
หน่วยงานที่จัดพิธีอุปสมบทพระภิกษุ และบรรพชาสามเณร หรือจัดเลี้ยงอาหารแก่ผู้ด้อยโอกาส เพื่อเป็นกุศลแก่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้า ได้รับทราบหมดแล้ว ด้วยความขอบคุณ และซาบซึ้งใจยิ่ง อีกทั้งในวันนี้ ยังมีผู้ใจบุญที่ทราบว่ามีประชาชนเดินทางมาอวยพรแก่ข้าพเจ้านับหมื่นคน จึงขอมีส่วนช่วยดูแลประชาชน โดยจัดส่งอาหาร และเครื่องดื่มนานาชนิดมาให้จนไม่อาจกล่าวถึงได้ครบถ้วน ข้าพเจ้าซาบซึ้ง ขอขอบคุณในน้ำใจไมตรีของทุกท่านไว้ ณ ที่นี้ด้วยเช่นกัน
      
สำหรับผู้ที่ส่งดอกไม้และสิ่งของต่างๆ มาถวาย เพื่อเป็นกำลังพระทัยแด่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เป็นประจำทุกวันที่โรงพยาบาลศิริราช ข้าพเจ้าขอแจ้งว่า ขณะนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงสบายขึ้นมากแล้ว เพียงแต่แพทย์ยังแนะนำให้ทรงทำกายภาพบำบัดต่อไป เพื่อให้ทรงพระดำเนินได้แข็งแรง พระองค์ท่านทรงงานได้เพิ่มขึ้น ทรงติดตามโครงการต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งระยะนี้ ที่มีฝนตกหนัก เพราะเป็นหน้าฝน เกิดปัญหาน้ำท่วมในภาคเหนือ และภาคอีสาน ก็ทรงเป็นห่วงมาก ได้พระราชทานสิ่งของไปช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่น้ำท่วมหลายแห่ง และทรงเชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาประชุมปรึกษาหารือถึงแนวทางที่จะช่วยเหลือประชาชน
      
ส่วนการบรรเทาความเดือดร้อนเฉพาะหน้าโดยเร่งด่วนนั้น ข้าพเจ้าได้เห็นหน่วยราชการ ทหาร ตำรวจ ตำรวจตระเวนชายแดน และองค์กรกุศลต่างๆ ได้ออกไปช่วยเหลือประชาชนอย่างเต็มกำลัง ทำให้ข้าพเจ้าซาบซึ้งใจมาก ว่า คนไทยไม่เคยทอดทิ้งกันในยามทุกข์ยากเลย ไม่ว่าจะเป็นยามเกิดภัยแล้ง หรือน้ำท่วมก็ตาม
      
เจ้าหน้าที่ทุกหน่วยดูแลราษฎรในพื้นที่ของตนเองอย่างสุดชีวิต จนบางครั้งเกิดเรื่องเศร้าสลดใจขึ้น เช่น เมื่อคราวน้ำท่วม จ.สงขลา วันที่ 1 พฤศจิกายน 2553 เราต้องสูญเสีย ร.ต.วัชรัตน์ บุญฤทธิ์ ปลัดอำเภอจะนะ จ.สงขลา ไปพร้อมกับเจ้าหน้าที่อีก 1 ท่าน เพราะถูกน้ำพัดไประหว่างออกไปช่วยเหลือประชาชน
      
ทุกวันที่ 11 สิงหาคม ที่ท่านทั้งหลายมาชุมนุมกันเพื่ออวยพรวันเกิดให้ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าก็จะมีโอกาสเล่าเรื่องอะไรต่อมิอะไรให้ท่านทั้งหลายฟังครั้งหนึ่ง ซึ่งมีทั้งเรื่องดีและเรื่องร้ายที่เกิดขึ้นในรอบปีที่ผ่านมา รวมทั้งบางเรื่องที่นำมาเล่าซ้ำ เพราะตั้งใจที่จะเตือนความทรงจำของท่านทั้งหลายด้วย
      
เรื่องแรกเป็นเรื่องโศกเศร้าของบ้านเมือง คือ การสิ้นพระชนม์ของสมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี พระราชธิดาองค์เดียวของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 และพระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี
      
สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอฯ พระองค์นี้ ทรงพระเมตตากรุณาต่อประชาชนชาวไทยมาตลอดพระชนม์ชีพของพระองค์ ข้าพเจ้าจึงขอขอบคุณรัฐบาลที่จะจัดงานพระศพอย่างสมพระเกียรติยศ และขอขอบคุณหน่วยงานทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชนทั้งหลาย ที่ทยอยกันไปถวายบังคม และฟังสวดพระอภิธรรมในงานพระศพอย่างไม่ขาดสาย
      
ข่าวเศร้าอีกข่าวหนึ่ง ก็เป็นข่าวใหญ่ที่เกิดขึ้นในเดือนที่แล้วเช่นเดียวกัน คือ ข่าวเฮลิคอปเตอร์ของกองทัพบกตกในบริเวณอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน ถึง 3 ลำ สูญเสียกำลังพลไป 16 นาย และช่างภาพโทรทัศน์ช่อง 5 อีก 1 นาย ข้าพเจ้าเศร้าเสียใจและรู้สึกเห็นใจครอบครัวของผู้สูญเสียทั้ง 17 รายนี้อย่างยิ่ง ผู้สูญเสียทุกคนล้วนอยู่ในวัยที่เป็นกำลังแข็งแกร่งของประเทศชาติ หลายคนมีลูกเล็กๆ ที่ยังไร้เดียงสา ซึ่งจากนี้ผู้เป็นแม่ก็คงต้องรับหน้าที่เป็นทั้งพ่อและแม่ต่อไปให้ดีที่สุด
      
แต่กรณีนี้เข้าใจว่า ทางราชการคงดูแลครอบครัวของบุคคลเหล่านี้อย่างเต็มที่ เพราะทุกท่านปฏิบัติหน้าที่อันสืบเนื่องมาแต่ภารกิจปกป้องผืนป่าของประเทศไทย ชาวไทยทั้งหลายจึงควรระลึกถึงความดีของท่าน และร่วมกันปกป้องผืนป่าไว้ให้คงอยู่ต่อไป อย่าให้สูญเสียครั้งยิ่งใหญ่นี้ต้องเป็นความสูญเปล่า
      
ข้าพเจ้าได้ติดตามข่าวนี้มาโดยตลอด ทราบว่า เจ้าหน้าที่ที่เดินป่าเข้าไปลำเลียงผู้เสียชีวิตออกมานั้น ทำงานด้วยความเหน็ดเหนื่อยและยากลำบากแสนสาหัส ต้องทำงานแข่งกับเวลาที่จะมืดค่ำลงในป่าที่รกทึบ ชื้นแฉะ และมีฝนตกตลอดเวลา อากาศก็หนาวเย็น ยังเต็มไปด้วยทาก และฝูงแมลงที่มาเกาะกินเลือดทั่วร่างกาย ชาวไทยทุกคนที่ติดตามข่าวนี้ก็คงเอาใจช่วยเจ้าหน้าที่ทุกท่านเช่นเดียวกับข้าพเจ้า พอทราบว่า ทุกท่านออกจากป่ามาได้โดยปลอดภัย ก็รู้สึกโล่งใจและซาบซึ้งในความเสียสละของทุกท่าน
      
ข้าพเจ้าคิดว่า บุญกุศลที่ท่านลำบากตรากตรำไปนำผู้เสียชีวิตออกมาคืนสู่ครอบครัวของเขา คงเป็นอานิสงส์ส่งให้ทุกท่านมีสุขภาพแข็งแรง ตลอดจนมีความเจริญก้าวหน้าในหน้าที่การงานต่อไปอย่างแน่นอน
      
เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมานี้เอง ม.จ.ภีศเดช รัชนี ได้เชิญให้ข้าพเจ้าไปเปิดงานโครงการหลวงครบรอบปีที่ 42 ที่ห้างเซ็นทรัลเวิลด์ โครงการหลวงเป็นโครงการที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้ทรงสละพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์จัดตั้งขึ้น ตั้งแต่ พ.ศ.2512 โดยมี ม.จ.ภีศเดช รัชนี สนองพระบรมราชโองการในตำแหน่งประธานมูลนิธิโครงการหลวง ในการดำเนินงานได้รับความร่วมมือจากอาสาสมัคร และหน่วยงานต่างๆ ต่อมารัฐบาลได้ให้การสนับสนุนงบประมาณส่วนหนึ่ง จากนั้นองค์กร ประเทศ และรัฐบาลต่างประเทศ ที่สนใจเข้ามาดูงาน ก็ให้การสนับสนุนเพิ่มเติม
      
ก่อนที่จะเป็นโครงการหลวงนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จฯไปตามดอยต่างๆ ไม่ทราบว่ากี่ร้อยครั้ง ลงจากรถพระที่นั่ง หรือเฮลิคอปเตอร์ แล้วก็ต้องทรงพระดำเนินต่อไปอีกหลายกิโลเมตร พระราชประสงค์ที่ทรงจัดตั้งโครงการหลวง ก็เพื่อที่จะช่วยชาวไทยภูเขาให้เขาสามารถช่วยตนเองได้ ในการเลี้ยงชีพ ปลูกพืชที่มีประโยชน์ เช่น พืช ผัก ผลไม้ และไม้ดอกเมืองหนาวมากกว่า 200 ชนิด ทดแทนการปลูกพืชเสพติด ช่วยสร้างรายได้ให้ชาวไทยภูเขา สามารถเลี้ยงครอบครัวของเขาได้ดีกว่าแต่ก่อน และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
      
นอกจากนั้น โครงการหลวงยังช่วยลดการทำลายทรัพยากรธรรมชาติ โดยเฉพาะป่าไม้ ซึ่งเป็นแหล่งต้นน้ำลำธารของไทย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รับสั่งว่า ถ้าเราช่วยชาวไทยภูเขาให้อยู่ดีกินดี โดยไม่ต้องปลูกพืชเสพติด เท่ากับช่วยบ้านเมืองของเราให้ปลอดภัยได้ทั่วประเทศ และได้รักษาป่าไม้ รักษาดินให้เป็นประโยชน์ต่อไป ซึ่งประโยชน์อันนี้จะยั่งยืนมาก
      
ขณะนี้ โครงการหลวงกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญ ที่มีทั้งชาวไทย และชาวต่างชาติ นิยมไปท่องเที่ยว และพักผ่อนจำนวนมากทุกปี ผลงานของโครงการหลวงเป็นที่ประจักษ์ไปทั่วโลก หลายประเทศมาขอรับคำแนะนำ จนกลายเป็นต้นแบบของการพัฒนาพื้นที่สูงให้แก่หลายประเทศไปแล้ว
      
นอกจากโครงการหลวงแล้ว พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ยังทรงมีโครงการพระราชดำริอีกมากมาย โครงการทั่วประเทศ ซึ่งข้าพเจ้าขอกล่าวอย่างกว้างๆ พอให้ท่านทั้งหลายทราบว่า พระองค์ท่านทรงห่วงใยประชาชนทุกภูมิภาคโดยเท่าเทียมกัน และการที่พระองค์เสด็จฯไปในพื้นที่ทุรกันดารด้วยพระองค์เอง ทำให้ทรงเข้าถึงปัญหาของแต่ละพื้นที่ และหาวิธีแก้ไขได้ตรงจุด
      
ทั้งนี้ ทรงเชิญนักวิชาการต่างๆ มาร่วมปรึกษาหารือ และช่วยดำเนินโครงการต่างๆ โครงการพระราชดำริโครงการแรกเกิดที่ภาคกลาง โดยทรงเริ่มโครงการอ่างเก็บน้ำที่เขาเต่า อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ เมื่อ พ.ศ.2506 เพื่อช่วยชาวบ้านเขาเต่าที่ขาดแคลนน้ำ ระหว่างประทับที่วังไกลกังวล ทรงพบว่า ปัญหาของพื้นที่ใน จ.เพชรบุรี และประจวบคีรีขันธ์ คือ ดินเป็นทราย ปลูกพืชไม่ค่อยขึ้น จึงทรงริเริ่มโครงการเกษตรขึ้น เช่น ที่หุบกระพง และดอนขุนห้วย ต่อมาทรงตั้งศูนย์ศึกษาการพัฒนาห้วยทราย จ.เพชรบุรี เพื่อทดลองการปรับปรุงบำรุงดิน และมีการสร้างอ่างเก็บน้ำไว้ใช้ในพื้นที่ด้วย
      
เมื่อไม่กี่ปีนี้ก็โปรดเกล้าฯ ให้สร้างเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ ที่ จ.ลพบุรี และเขื่อนขุนด่านปราการชล ที่ จ.นครนายก เพื่อแก้ปัญหาภัยแล้ง และน้ำท่วม ให้กรุงเทพฯ และปริมณฑล ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เป็นพื้นที่ราบสูง ขาดแคลนน้ำและสภาพดินเป็นดินทรายแห้งแล้ง จึงโปรดเกล้าฯ ให้สร้างอ่างเก็บน้ำ พร้อมคลองส่งน้ำขึ้นหลายแห่ง ต่อมาทรงสร้างศูนย์ศึกษาการพัฒนาภูพาน จ.สกลนคร เพื่อเป็นแหล่งเรียนรู้การรักษา และฟื้นฟูสภาพป่าต้นน้ำลำธาร และการบำรุงดิน เป็นต้น
      
ที่ภาคใต้ เฉพาะอย่างยิ่งที่ จ.นราธิวาส พระองค์ท่านประทับเรือไปในเขตพรุ ซึ่งมีพื้นที่มหาศาล น้ำในพรุนั้น มองดูใสสะอาด แม้แต่วัวยังหลงไปกิน และปากก็เปื่อยเป็นแผลนาน เพราะน้ำนั้นมีฤทธิ์เป็นกรด พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จะทรงสั่งให้เตรียมขวดน้ำ และทรงตักน้ำด้วยพระองค์เอง เพื่อนำน้ำมาให้กรมชลประทานทดสอบคุณภาพ
      
พระองค์ท่านมีพระราชประสงค์ จะทรงเพิ่มพื้นที่ปลูกข้าวในภาคใต้ โดยทรงมีพระราชดำริว่า พื้นที่ตามขอบพรุนั้น น่าจะปรับปรุงให้เป็นพื้นที่เพาะปลูกได้ จึงทรงปรึกษาผู้เชี่ยวชาญหลายหน่วยงาน เช่น กรมพัฒนาที่ดิน กรมชลประทาน กรมวิชาการเกษตร เป็นต้น เพื่อให้ขุดคลองระบายน้ำในพรุออก โดยให้มีประตูระบายน้ำ เพื่อควบคุมระดับน้ำในพรุ
      
และพระราชทานคำแนะนำในการแก้ปัญหาดินเปรี้ยว จนสามารถปรับปรุงที่นาที่ถูกทิ้งมาถึง 20-30 ปี ให้นำมาใช้ประโยชน์ได้มากกว่าแสนไร่ เช่น ที่นราธิวาสได้ 20,000 กว่าไร่ นครศรีธรรมราช 20,000 กว่าไร่ ปัตตานี 10,000 กว่าไร่ เป็นต้น แต่เดิมชาวบ้านปลูกข้าวได้แค่ไร่ละ 4-5 ถัง เดี๋ยวนี้เพิ่มเป็น 50 ถังแล้ว และยังปลูกพืชผักผลไม้ได้อีกหลายชนิด รวมทั้งเลี้ยงสัตว์ด้วย ซึ่งชาวบ้านกราบบังคมทูลขอพระราชทานให้ทรงทำชิ้นนี้ในเขตพรุต่อไปอีก ก็รับสั่งว่า ข้าทำให้พื้นที่พรุแห้ง เพิ่มมากเกินไปในที่ใกล้ๆ กันนี้ อาจจะเกิดไฟลุกขึ้นในพรุซึ่งจะเป็นอันตรายได้
      
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงติดตามงานทุกโครงการโดยตลอด และทรงงานละเอียดมากทุกอย่าง ภาพที่คุ้นตาประชาชน คือ ภาพที่ทรงถือแผนที่ที่ติดพระองค์เป็นประจำ แม้เวลาประทับบนเฮลิคอปเตอร์ หรือเวลาที่ทรงขับรถยนต์พระที่นั่ง จะทรงวางแผนที่ไว้ข้างพระองค์ และทอดพระเนตรสภาพพื้นที่จริงเทียบกับแผนที่ และทรงซักถามชาวบ้านถึงชื่อหมู่บ้าน ถนน แม่น้ำลำคลอง ทรงทำเครื่องหมายไว้ และเพิ่มเติมข้อมูลใหม่ลงไปเสมอ ในห้องทรงงานที่พระตำหนักทุกแห่ง จะมีแผนที่ประเทศไทยขนาดใหญ่ติดผนังห้องไว้ ทำให้ทุกพื้นที่ในประเทศไทยอยู่ในสายพระเนตรตลอดเวลา
      
ธนาคารข้าวเป็นโครงการหนึ่งที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีพระราชดำริให้ตั้งขึ้น เพื่อให้ราษฎรที่ประสบความเดือดร้อนมาขอยืมข้าวได้ เมื่อทำนาและมีข้าวเหลือจะนำมาใช้คืน โดยให้ชาวบ้านดูแลจัดการกันเอง ในเวลาต่อมาเมื่อข้าพเจ้าได้มีโอกาสไปเยี่ยมราษฎรพื้นที่ภาคเหนือแทนพระองค์ ข้าพเจ้าได้ยึดถือแนวทางที่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงจัดตั้งโครงการช่วยเหลือชาวไทยภูเขามาเป็นต้นแบบ โดยได้รับความร่วมมือจากกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม อนุญาตให้ใช้พื้นที่ที่ถูกแผ้วถางจนโล่งเตียนหมดแล้ว จัดตั้งเป็นสถานีเกษตรที่สูง เพื่อช่วยเหลือชาวไทยภูเขาให้หยุดการทำไร่เลื่อนลอย และเปลี่ยนแปลงพื้นที่ที่เคยใช้ปลูกพืชเสพติด มาเป็นแปลงเกษตร ปลูกพืชเมืองหนาว และจัดตั้งฟาร์มตัวอย่างขึ้นในพื้นที่ จ.เชียงใหม่ เชียงราย แม่ฮ่องสอน พะเยา น่าน เป็นต้น
      
บางพื้นที่จัดทำเป็นโครงการบ้านเล็กในป่าใหญ่ เพื่อช่วยอนุรักษ์ป่าไม้ มีหลายพื้นที่ที่ราษฎรได้ตระหนักถึงภัยธรรมชาติ ที่เคยเกิดขึ้นจากการที่ป่าส่วนมากถูกทำลาย จนเป็นสาเหตุให้เกิดน้ำป่าไหลหลาก และแผ่นดินถล่มลงมาทับถมบ้านเรือน ในยามที่เกิดพายุและฝนตกหนัก ราษฎรจึงได้ช่วยกันปลูกป่า และคืนผืนป่าให้แก่ทางราชการ ดังตัวอย่างเช่น ที่ดอยอมพาย อ.แม่แจ่ม จ.เชียงใหม่ และที่บ้านกอก-บ้านจูน อ.ปัว จ.น่าน ราษฎรได้คืนผืนป่าให้ทางราชการเป็นจำนวนหลายพันไร่
      
โครงการบ้านเล็กในป่าใหญ่ บ้านห้วยหญ้าไทร อ.แม่สรวย จ.เชียงราย ก็สามารถช่วยฟื้นฟูสภาพป่าได้นับหมื่นไร่เช่นเดียวกัน
      
ในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ข้าพเจ้าได้ขอความร่วมมือจากหน่วยทหารในพื้นที่ หน่วยทหารพัฒนาของกองทัพไทย และส่วนราชการต่างๆ จัดตั้งโครงการป่ารักน้ำ โครงการบ้านเล็กในป่าใหญ่ หมู่บ้านเศรษฐกิจพอเพียง ฟาร์มตัวอย่าง และฝึกราษฎรอาสาสมัครพิทักษ์ป่า เพื่อช่วยกันอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ โดยเฉพาะป่าต้นน้ำลำธาร ให้กลับฟื้นคืนสภาพเป็นป่าที่สมบูรณ์ดังเดิม ทั้งนี้ก็เพื่อให้ป่าไม้เป็นแหล่งดูดซับน้ำ และช่วยชะลอการไหลของน้ำ มิให้เกิดน้ำป่าไหลหลาก ทำให้เกิดความเสียหายอย่างรุนแรง ดังที่เป็นข่าวในปัจจุบัน (ขอโทษนะที่นานหน่อย ยังอีกนานเลย มีโอกาสแสดงก็เลยนานหน่อย)
      
เมื่อครั้งที่ภาคกลางเกิดอุทกภัยครั้งใหญ่ ทำให้ที่อยู่อาศัยและพื้นที่ทำกินของราษฎรได้รับความเสียหายหนัก โดยเฉพาะที่ จ.พระนครศรีอยุธยา อ่างทอง และสิงห์บุรี ข้าพเจ้าได้ปรึกษา พล.อ.ณพล บุญทับ รองสมุหราชองครักษ์ ขอให้ไปหาที่จัดตั้งฟาร์มตัวอย่างขึ้นที่ อ.บางระจัน จ.สิงห์บุรี อ.แสวงหา จ.อ่างทอง และ อ.นครหลวง จ.พระนครศรีอยุธยา เพื่อช่วยให้ราษฎรมีงานทำ ได้แก่ การเพาะปลูก เลี้ยงสัตว์ และงานศิลปาชีพ เป็นการทำตามแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่เคยมีพระราชปรารภกับข้าพเจ้า ว่า การแจกของในยามที่ราษฎรประสบภัยพิบัติต่างๆ เป็นการช่วยเหลือแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้เพียงชั่วเวลาสั้นๆ มิใช่การแก้ปัญหาอย่างถาวร การแก้ปัญหาอย่างถาวรต้องช่วยให้ราษฎรมีอาชีพ มีงานทำอย่างถาวร จึงจะเรียกว่าเป็นการช่วยที่ยั่งยืน
      
ดังนั้น โครงการฟาร์มตัวอย่าง และโครงการศิลปาชีพ จึงเป็นการช่วยให้ราษฎรมีอาชีพยั่งยืนตามแนวพระราชดำรินั่นเอง
      
สำหรับงานศิลปาชีพ เป็นงานที่ข้าพเจ้าภูมิใจมาก เพราะว่าเป็นงานที่ทำให้ข้าพเจ้าทราบว่าคนไทยของเราเก่ง มีสายเลือดของช่างฝีมืออยู่ทุกคน ไม่ว่าจะเป็นชาวนา ชาวไร่ หรือมีอาชีพใด อยู่สารทิศใด คนไทยเรามีความละเอียดอ่อนและฉับไวต่อการรับศิลปะทุกชนิด ขอเพียงแต่ให้เขามีโอกาสได้เรียนรู้และฝึกฝน เขาก็จะแสดงความสามารถออกมาให้เห็นได้ ดังผลงานที่ปรากฏเป็นที่ประจักษ์ ซึ่งข้าพเจ้าได้ให้นำมาจัดแสดงไว้ให้ประชาชนและชาวต่างชาติชม ณ พระที่นั่งอนันตสมาคม ผลงานอย่างนี้เป็นผลงานชั้นเลิศที่ถือได้ว่าเป็นสมบัติของแผ่นดิน ชาวต่างชาติต่างๆ ซึ่งเป็นแขกของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และข้าพเจ้า ได้มีโอกาสมาเยี่ยมชม ต่างก็แสดงความคิดเห็นว่า ผลงานทุกชิ้นที่แสดงอยู่ที่พระที่นั่งอนันตสมาคม เป็นฝีมือของศิลปินชั้นเอกของโลก ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นฝีมือของลูกหลานชาวนา ชาวไร่ อันนี้เป็นความจริง คนไทยเราเก่งจริงๆ
      
ต่อไปก็เป็นเรื่องโขน เรื่องต่อเป็นเรื่องการทำนุบำรุงศิลปวัฒนธรรมไทย ทราบว่า ท่านทั้งหลายในทีนี้อาจได้ไปชมโขนชุดศึกมัยราพ ปีนี้จัดแสดงต่อเนื่องตั้งแต่วันที่ 15-31 กรกฎาคม และยังได้เพิ่มรอบการแสดงต่อไป จนถึงวันที่ 7 สิงหาคม เพิ่งลาโรงไปไม่กี่วันนี้เอง
      
การจัดแสดงโขนไม่ใช่เรื่องง่าย คณะครูผู้เชี่ยวชาญการโขน ศิลปินแห่งชาติ ผู้แสดง และผู้จัดการแสดง ต่างก็ทุ่มเทฝีมือ ความคิด และแรงกายแรงใจ อย่างสุดกำลัง ทำให้โขนออกมาสนุก ตื่นเต้นและสวยงามมาก มีฉากที่สร้างอย่างยิ่งใหญ่ เป็นที่ประทับใจคนดู เช่น ฉากหนุมานอมพระพลา เป็นต้น
      
ทุกครั้งที่จัดการแสดงโขน คณะกรรมการจะคัดเลือกนักแสดงรุ่นใหม่มาเป็นผู้สร้างร่วม เพื่อเปิดโอกาสให้เยาวชนได้มาฝึกฝนศิลปะการแสดงชั้นยอดของไทยจากปรมาจารย์โดยตรง เมืองไทยจะได้มีนักแสดงฝีมือดี สืบทอดวิชาต่อไป
      
ขณะเดียวกัน ต้องมีการจัดสร้างเครื่องแต่งกาย และฉากใหม่ๆ ทำให้ได้ช่างฝีมือหลายประเทศ ประเทศที่มีความสามารถเพิ่มขึ้นตามลำดับ รวมทั้งวงดนตรีปี่พาทย์ ผู้ขับร้อง และผู้พากย์บทด้วยกัน ขณะนี้จึงพอมีความหวังแล้วว่าโขนซึ่งเป็นศิลปะการแสดงชิ้นเอกของไทยคงไม่สูญหายไป เพื่อนของข้าพเจ้าซึ่งเป็นชาวอเมริกันได้ไปดูโขน และแสดงความตื่นเต้นอย่างมาก ซึ่งเป็นผู้ชาย และบอกว่า โขนน่าจะลองนำไปแสดงที่ลอสแองเจลิสบ้าง เพราะเชื่อว่า คนต่างประเทศจะชื่นชมมาก เป็นศิลปะที่เก่าแก่ งดงาม
      
ข้าพเจ้าปลื้มใจมาก ที่ทราบว่า มีผู้เข้าชมมากมายจากทั่วประเทศ เสียงชื่นชมทุกสารทิศที่ว่า โขนชุดนี้จัดได้ดีมาก เป็นที่ประทับใจผู้ชมทุกเพศ ทุกวัย ทำให้ข้าพเจ้า และคณะผู้จัดมีกำลังใจยิ่งขึ้นที่จะจัดโขนชุดต่อไปในปีหน้า
      
ต่อไป ข้าพเจ้าขอแจ้งให้ทราบถึงโครงการจัดสร้างพระพุทธเมตตาประชาไทย ไตรโลกนาถ คันธารราษฎร์อนุสรณ์ วัดทิพย์สุคนธาราม อ.ห้วยกระเจา จ.กาญจนบุรี โครงการนี้เกิดจากความริเริ่มของเจ้าพระคุณสมเด็จพระมหาธีราจารย์ อดีตเจ้าอาวาสวัดชนะสงคราม ซึ่งเมื่อวันวิสาขบูชาปีที่แล้ว ข้าพเจ้าได้ไปทำบุญฟังเทศน์ ที่วัดชนะสงคราม สมเด็จพระมหาธีราจารย์ ท่านได้ปรารภกับข้าพเจ้าเรื่องความตั้งใจที่จะสร้างพระพุทธรูปองค์สำคัญขึ้น
      
วัตถุประสงค์คือ เพื่อเป็นศูนย์รวมความเคารพของพุทธศาสนิกชนอีกแห่งหนึ่ง และเพื่อเป็นอนุสรณ์ถึงพระพุทธรูปแห่งบามิยัน ประเทศอัฟกานิสถาน ซึ่งถูกระเบิดทำลายไป เป็นข่าวใหญ่สะเทือนใจชาวพุทธทั่วโลกเมื่อหลายปีก่อน รวมทั้งเพื่อเฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในวโรกาสทรงเจริญพระชนมพรรษา 84 พรรษา กับเพื่อเป็นเกียรติแก่ข้าพเจ้าที่จะมีอายุ 80 ไปในปีหน้า แหม รีบบอก เพิ่งจะ 79 ปีนี้ บอก 80 เมื่อข้าพเจ้าได้ทราบ ข้าพเจ้าก็รับปากกับเจ้าพระคุณสมเด็จฯ ว่า ข้าพเจ้าจะขอร่วมทำบุญ และจะพยายามสนับสนุนโครงการนี้ ให้ดำเนินไปจนสำเร็จ
      
บัดนี้ สมเด็จพระมหาธีราจารย์ ท่านได้มรณภาพแล้ว เมื่อไม่กี่เดือนมานี้เอง ข้าพเจ้าจึงรับเป็นผู้อุปถัมภ์โครงการ และปวารณาว่า จะดำเนินการให้ลุล่วงดั่งความตั้งใจของเจ้าพระคุณสมเด็จพระมหาธีราจารย์ ผู้เป็นพระเถระชั้นผู้ใหญ่ และมีอุปการะคุณแก่คณะสงฆ์ไทย และพุทธศาสนิกชนอย่างยิ่ง
      
พระพุทธรูปองค์นี้ สมเด็จพระมหาธีราจารย์ ท่านเป็นผู้ออกแบบ ดูแลแก้ไข และเลือกทำเลที่จะประดิษฐานด้วย ตามแบบเป็นพระพุทธรูปปางคันธารราษฎร์ หรือที่เรียกว่าปางขอฝน หล่อด้วยโลหะสัมฤทธิ์ จะสูง 32 เมตร ซึ่งแทนความหมายถึงอาการแห่งกายครบ 32 ประการของมนุษย์ ยืนบนฐานที่สูงประมาณ 8 เมตร มีพุทธลักษณะงามมาก
      
สมเด็จพระมหาธีราจารย์ ตั้งชื่อว่าพระพุทธเมตตาประชาไทย ไตรโลกนาถ คันธารราษฎร์อนุสรณ์มีความหมาย 3 ประการคือ 1.เป็นพระพุทธรูป ซึ่งเป็นที่พึ่งของประชาชนชาวไทย และชาวโลก และเป็นพระพุทธรูป 2.ซึ่งเป็นที่พึ่งของสามโลก ได้แก่ โลกสวรรค์ โลกมนุษย์ และยมโลก 3.เป็นพระพุทธรูปที่สร้างขึ้น เพื่อระลึกถึงพระพุทธรูปแห่งบามิยัน ประเทศอัฟกานิสถาน ก่อนที่พระพุทธรูปใหญ่แห่งบามิยัน ประเทศอัฟกานิสถาน จะถูกระเบิดทำลาย ประชาชนทั้งโลก ทั้งศาสนาพุทธ หรือไม่ใช่พุทธศาสนา ต่างก็ขอร้องไปที่ประเทศอัฟกานิสถาน ว่า ขออย่าให้ระเบิดท่านเลย พระพุทธรูปแห่งบามิยัน เพราะท่านอายุตั้ง 2,000 ปีแล้ว อย่าระเบิดเลย แต่เขาก็ระเบิดอยู่ดี
      
เพราะฉะนั้น สมเด็จท่านเลยคิดว่า ชาวไทยพุทธต้องช่วยกันสร้างพระพุทธรูปนี้ขึ้นแทน จากองค์ที่ถูกระเบิดไปที่ประเทศอัฟกานิสถาน โครงการนี้ ต้องใช้ระยะเวลาดำเนินการ 4 ปี จึงจะแล้วเสร็จ ที่ข้าพเจ้านำมาเล่าให้ท่านทั้งหลายฟัง ก็เพื่อจะบอกกล่าวแก่พุทธศาสนิกชนได้ทราบโดยทั่วกันว่า บ้านเมืองเรากำลังจะมีพระพุทธรูปองค์ใหญ่มาก เกิดขึ้นในเวลาไม่ช้า ไม่นานนี้
      
เรื่องสำคัญอีกเรื่องหนึ่ง ที่ข้าพเจ้าอยากขอความร่วมมืออย่างจริงจังจากรัฐบาล และคนไทยทั้งชาติ นั่นคือ การแก้ปัญหายาเสพติด ที่บ่อนทำลายสังคมไทยมาหลายสิบปี และนับวันแต่จะรุนแรงขึ้น สมัยก่อนชาวไทยภูเขาเคยปลูกฝิ่น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงอุตส่าห์อาบเหงื่อต่างน้ำ ตั้งโครงการหลวงขึ้นมาแก้ไข ชวนชาวไทยภูเขาให้หันมาปลูกพืชเมืองหนาวแทน จนขณะนี้พวกเขาเลิกปลูกฝิ่นไปแล้ว พืชเมืองหนาวทำรายได้ดีกว่ามาก
      
ข้าพเจ้าก็นึกว่าจะเบาใจเรื่องยาเสพติดไปได้ ที่ไหนได้ กลับมีผู้ใช้ประเทศไทยเป็นทางผ่านของยาเสพติด และยังมีผู้ลักลอบผลิตอีกด้วย โดยเฉพาะชนิดที่แพร่ได้เร็วยิ่งกว่าเชื้อโรคคือ ยาบ้า เพราะสารตั้งต้นในการผลิตยาบ้าหาได้ง่าย ผลก็คือ คนไทยตกเป็นทาสยาบ้าแล้วล้านๆ คน ทุกคนมีสุขภาพทรุดโทรม ทั้งร่างกาย จิตใจ สติปัญญาเสื่อมถอย ยาบ้าและยาเสพติดทั้งหลาย กำลังทำลายสังคมไทยอย่างน่ากลัว
      
ข้าพเจ้าไม่สบายใจเลย ที่มีข่าวว่า ยาบ้ามีขายทุกตรอกซอกซอย แม้กระทั่งในโรงเรียน หรือในวัด ผู้ผลิตยาเสพติด และผู้ขายกำลังทำตัวเป็นฆาตกร ฆ่าลูกหลานไทยอย่างเยือกเย็น น่าเป็นห่วงเหลือเกิน
      
เมื่อ พ.ศ.2546 ข้าพเจ้าได้เคยมอบเงินจำนวนหนึ่งให้แก่ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด เพื่อสนับสนุนการแก้ปัญหายาเสพติด ต่อมาสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดได้นำเงินนี้ไปสมทบกับงบประมาณของสำนักงาน จัดตั้งเป็นกองทุนต่อต้านยาเสพติดขึ้น โดยขอใช้ชื่อว่า กองทุนแม่ของแผ่นดิน มอบให้หมู่บ้านที่เข้าร่วมการแก้ปัญหายาเสพติดในปี พ.ศ.2547 จำนวน 672 หมู่บ้าน
      
จากนั้นรัฐบาลที่แล้ว รัฐบาลของคุณอภิสิทธิ์ ได้นำไปขยายผลจัดตั้งหมู่บ้านกองทุนแม่ของแผ่นดินขึ้นทั่วประเทศ เวลานี้มีหมู่บ้านเปล่าๆ เข้าร่วมโครงการแล้วจำนวน 12,189 หมู่บ้าน และรัฐบาลนายกฯ อภิสิทธิ์ ได้จัดงานหาเงินสมทบทุนโครงการนี้ ได้เป็นเงินประมาณ 300 ล้านบาท ซึ่งเมื่อเร็วๆ นี้ ข้าพเจ้าได้มอบเงินดังกล่าว แก่ผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัด สำหรับนำไปดำเนินการโครงการหมู่บ้านกองทุนแม่ของแผ่นดิน
      
ข้าพเจ้าเชื่อแน่ว่า รัฐบาลต่อไปจะสานต่อโครงการนี้ อนึ่ง ถ้าสังคมไทยปล่อยให้รัฐบาลทำงานฝ่ายเดียว คงไม่สำเร็จ คนไทยทุกคนต้องผนึกกำลังมาช่วยกัน โดยเริ่มจากคนในครอบครัวก่อน ต่อจากนั้นคือ คนในสังคมทั้งหมดต้องช่วยกันเป็นหูเป็นตาให้แก่กันและกัน ควรต่อต้านและประณามผู้ผลิตและผู้ค้ายาเสพติด รวมทั้งแจ้งให้เจ้าหน้าที่ดำเนินการ ทำไมปล่อยให้ลูกหลานติดยา โดยไม่พาไปรักษา ท่านต้องให้เวลา และกำลังใจในการฟื้นฟูลูกหลานที่ติดยา เพื่อให้เขากลับคืนมาเป็นคนที่มีคุณภาพของสังคม และเป็นกำลังของครอบครัวต่อไป
      
มีอีกเรื่อง ข้าพเจ้ามีเรื่องอยากจะขอปรึกษาท่านทั้งหลาย ที่มีใจเมตตามาในงานของข้าพเจ้าในวันนี้ เกี่ยวกับเหตุการณ์ทางภาคใต้ ที่ข้าพเจ้าทราบมาว่า มีผู้ก่อความไม่สงบลอบทำร้ายพระสงฆ์ขณะออกบิณฑบาตตามท้องถนน เป็นเหตุให้พระสงฆ์มรณภาพไปหลายรูป บางรูปทุพพลภาพ ต้องลาสิกขาบทจากสมณเพศ ความจริงการบิณฑบาตของพระสงฆ์ ถือเป็นการปฏิบัติกิจทางศาสนาตามพุทธบัญญัติ และเป็นประเพณีของชาวพุทธที่ปฏิบัติสืบทอดกันมาแต่โบราณกาล
      
ในอดีตที่ผ่านมา ไม่เคยมีประวัติการทำร้ายพระสงฆ์ในขณะออกบิณฑบาต เพราะพระสงฆ์ไม่ได้สร้างความเดือดร้อนให้แก่สังคมแต่อย่างใด การทำบุญใส่บาตรเป็นไปด้วยความสมัครใจ เมื่อมีเหตุการณ์ทำร้ายพระสงฆ์เกิดขึ้น ทำให้ข้าพเจ้าตกใจและรู้สึกเสียใจเป็นอย่างยิ่ง ถ้าเรามองย้อนกลับไปดูประวัติศาสตร์ของบ้านเรา ตั้งแต่สมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 มีพวกมิชชันนารี นิกายศาสนาต่างๆ คาทอลิกโปรเตสแตนต์ เข้ามาชักชวนพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ขอให้พระองค์ทรงเข้ารีตนับถือศาสนาคริสต์ ก็ทรงรับฟัง และทรงพระเมตตาพระราชทานที่ดินให้จัดสร้างโบสถ์คริสต์ขึ้นในประเทศไทย พร้อมยังทรงขอร้องให้เข้ามาช่วยสอนภาษาอังกฤษ และภาษาละติน เพื่อจะได้ทรงศึกษาให้เข้าพระทัย ถึงแก่นแท้ของแต่ละศาสนา
      
นอกจากนั้น ยังได้ทรงเชิญให้คณะมิชชันนารีร่วมเดินทางไปดูสุริยุปราคาที่ ต.หว้ากอ อ.เมือง จ.ประจวบคีรีขันธ์ ซึ่งพระองค์ทรงคำนวณด้วยพระองค์เองว่า จะเกิดสุริยุปราคาเต็มดวง และเห็นได้อย่างชัดเจนที่ ต.หว้ากอ อย่างแม่นยำ ทรงได้รับการยกย่องให้เป็นพระบิดาแห่งวิทยาศาสตร์ไทย ด้วยน้ำพระทัยที่เปิดกว้าง และเปี่ยมด้วยพระเมตตาของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ดังกล่าวแล้ว ทำให้ประเทศไทยของเราเป็นที่เลื่องลือไปในนานาประเทศว่า เป็นประเทศที่มีเสรีภาพในการนับถือศาสนาเรื่อยมาจนบัดนี้
      
จะได้เห็นว่า ในกรุงเทพมหานครของเรา มีวัดพุทธ มีโบสถ์คริสต์ มีมัสยิดอิสลาม โบสถ์พราหมณ์ ที่เสาชิงช้า วัดแขกที่สีลม และศาลเจ้าต่างๆ มากมาย โดยที่ทุกศาสนาต่างเพื่อปฏิบัติศาสนกิจของตนไปตามความเชื่อถือ ศรัทธาของแต่ละบุคคล ไม่เบียดเบียนกัน จึงทำให้ประเทศไทยได้รับการยกย่องจากประชาชนโลก ว่า เป็นประเทศที่น่าอยู่ น่าท่องเที่ยว ประชาชนมีอัธยาศัยไมตรีดีงาม ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งทำให้กรุงเทพมหานครได้รับการคัดเลือกให้เป็นเมืองน่าท่องเที่ยวอันดับ 1 ของโลกในปัจจุบัน
      
สำหรับพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ เมื่อครั้งที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จฯเยี่ยมประชาชนไปตามหมู่บ้านในชนบท ที่มีมัสยิด หรือโบสถ์ ในวัดพุทธ จะพระราชทานความช่วยเหลือทะนุบำรุงทุกศาสนาอย่างเท่าเทียมกัน มีการพระราชทานรางวัลแก่บรรดาโต๊ะอิหม่าม และครูสอนศาสนาอิสลามเป็นประจำทุกปี เมื่อข้าพเจ้ามีโอกาสได้ไปเยี่ยมประชาชนแทนพระองค์ในเวลาต่อมา ข้าพเจ้าก็ยึดถือปฏิบัติเช่นเดียวกับที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้ทรงเคยปฏิบัติมา ข้าพเจ้ายังจำภาพที่ชาวไทย-มุสลิม แต่ละหมู่บ้านมายืนจุดเทียนรอส่งเสด็จพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในยามดึกดื่นค่ำคืนด้วยความห่วงใย เพราะเกรงว่าจะมีอันตรายเกิดขึ้นกับพระองค์ ในขณะที่ทรงขับรถผ่านพื้นที่อันตรายต่างๆ ข้าพเจ้ารู้สึกประทับใจ ซาบซึ้งในความมีน้ำใจของราษฎรชาวไทย-มุสลิม อยู่เสมอมิเคยลืม
      
เมื่อข้าพเจ้าได้ทราบว่า ขณะนี้มีเหตุการณ์ทำร้ายพระสงฆ์ เกิดขึ้นอยู่เนืองๆ ในขณะออกบิณฑบาตตามหมู่บ้านของชุมชนไทยพุทธ ไม่เฉพาะแต่พระสงฆ์เท่านั้นที่ถูกลอบทำร้าย แม้แต่ราษฎรชาวไทย และชาวไทยมุสลิมเอง ตลอดจนข้าราชการครู ทหาร ตำรวจ พ่อค้า ประชาชน ถูกลอบทำร้ายเช่นเดียวกัน
      
สำหรับข้าราชการครูที่อยู่นอกพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่อาสาลงไปสอนหนังสือในพื้นที่เสี่ยงภัยนั้น ข้าพเจ้าได้นำเงินที่ท่านทั้งหลายมอบให้ข้าพเจ้า และเป็นของขวัญวันเกิด ข้าพเจ้าได้นำเงินที่ท่านมอบให้ไปจัดสร้างศูนย์ครูใต้ขึ้นที่ จ.ปัตตานี โดยมีการรักษาความปลอดภัยอย่างดี มีห้องสมุด ห้องประชุมอเนกประสงค์ และห้องสันทนาการต่างๆ สำหรับครูที่ลงไปสอนที่จังหวัดต่างๆ ภาคใต้ ได้พักผ่อนหย่อนใจ แลกเปลี่ยนความรู้กัน และมีอินเทอร์เน็ตเตรียมไว้สำหรับติดต่อกับเพื่อนครู และญาติพี่น้องทางบ้าน มีโรงเรียนในนั้นด้วย สำหรับลูกหลานของครู และในบริเวณเดียวกันมีฟาร์มตัวอย่างสำหรับประชาชน เพาะปลูกและเลี้ยงสัตว์ด้วย
      
ข้าพเจ้าจึงมีความซาบซึ้งในทุกๆ ท่านมาก ที่วันเกิดท่านได้มอบเงินให้แก่ข้าพเจ้าเป็นของขวัญ ข้าพเจ้าอยากจะบอกกับท่านว่า ได้นำเงินนั้นไปสร้างศูนย์ครูใหญ่แล้ว ซึ่งเป็นที่พึ่งของครูไทยที่ต้องไปสอนที่จังหวัดภาคใต้ เข้าไปอยู่ในศูนย์ครูและปลอดภัยทุกประการ เพราะว่าข้าพเจ้าได้จัดให้มีผู้อารักขาล้อมรอบที่อยู่ปลอดภัย มีสตรีชาวไทยมุสลิมที่สูญเสียสามีได้มาขอความช่วยเหลือ ขอเข้ามาอาศัยในหมู่บ้านเศรษฐกิจพอเพียง บ้านรอตันบาตู จ.นราธิวาส ที่ข้าพเจ้าได้ใช้เงินที่ท่านทั้งหลายให้ข้าพเจ้าในโอกาสวันเกิด โดยข้าพเจ้าได้สร้างขึ้นเพื่อไว้ช่วยเหลือประชาชนที่ประสบภัยที่ภาคใต้ จากความเดือดร้อนดังกล่าว
      
ข้าพเจ้าไม่อยากเชื่อว่า จะเป็นการกระทำของชาวไทยมุสลิมที่มีน้ำใจเมตตา ดังที่ข้าพเจ้าได้เคยรู้จักมาก่อน ในการที่ทำร้ายพระสงฆ์ จึงรู้สึกไม่สบายใจมาก ไม่คิดว่าเหตุการณ์รุนแรงเช่นนี้ จะเกิดขึ้นในบ้านเมืองของเรา บ้านเมืองของเราซึ่งได้ชื่อไปทั่วโลก ว่า เป็นประเทศประชาธิปไตย เพราะการกีดกันไม่ให้มีการใส่บาตรเช่นนี้ ต้องถือว่าเป็นการลิดรอนสิทธิเสรีภาพของประชาชน ในการประกอบกิจทางศาสนา
      
ข้าพเจ้ามีความเชื่อมั่นว่า เมื่อท่านทั้งหลายได้ยินข่าวเหล่านี้ คงมีความรู้สึกสะเทือนใจเช่นเดียวกับข้าพเจ้า และคงไม่อยากให้เหตุการณ์รุนแรงเช่นนี้เกิดขึ้นในบ้านเมืองของเราอีกต่อไป ข้าพเจ้าจึงขอโอกาส ขอความร่วมมือจากท่านทั้งหลายในวันนี้ ที่มาอวยพรวันเกิดข้าพเจ้า ได้ช่วยกันมีส่วนร่วมกันในความคิดหาวิธีที่จะนำความสงบสันติสุข กลับมาสู่ดินแดนภาคใต้ของเรา ให้ได้โดยเร็วที่สุด
      
ข้าพเจ้าขอขอบคุณชาวไทยทั้งประเทศ ที่ตั้งใจทำความดี และสร้างบุญกุศลในเดือนสิงหาคม เพื่อเป็นของขวัญวันเกิดแก่ข้าพเจ้า ขอให้กุศลจากการคิดดีทำดีของคนไทยทั้งหลาย จงคุ้มครองคนไทยทุกคน ให้แคล้วคลาดจากภยันตรายทั้งปวง ขอให้ประเทศไทยเราร่มเย็นเป็นสุข รอดพ้นจากภัยธรรมชาติ และประชาชนทุกภาค สามารถทำมาหาเลี้ยงชีพได้อย่างปกติสุข มีกำลังกาย มีกำลังสติปัญญาที่จะนำพาประเทศชาติของเราให้เจริญก้าวหน้ายิ่งๆ ขึ้นสืบไป และขอให้ทุกท่าน เดินทางกลับบ้านโดยปลอดภัยทุกๆ คน ขอขอบคุณ

 
       ที่มา อลิตเติ้ลบุ๊ดดะดอทคอม

วันพฤหัสบดีที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2554

บทความเขียนที่แคมป์สน

 เขียนบทความนี้ตอนอยู่แคมป์สน เพชรบูรณ์ ช่วง ปลาย เมษา ๕๔ ไปเป็นวิปัสสนาจารย์อบรมภาคจิตตภาวนาของพระธรรมทูตสายต่่างประเทศรุ่นที่ ๑๗

บทความเรื่อง ประสบการณ์การปฏิบัติธรรม
โดย...พระมหาธานินทร์  อาทิตวโร        

การปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน  เป็นคำที่ข้าพเจ้าได้ฟังแล้วรู้สึกเป็นเรื่องยิ่งใหญ่และสูงส่งมาก ข้าพเจ้ามีโอกาสได้เข้าปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานครั้งแรก กับคณะวิปัสสนากรรมฐานเคลื่อนที่ซึ่งนำโดยพระเดชพระคุณพระกาฬสินธุ์ธรรมคณี  (สมณศักดิ์ในขณะนั้น ต่อมาท่านได้เลื่อนเป็นพระราชธรรมเมธี) รองเจ้าคณะจังหวัดกาฬสินธุ์ ที่วัดเกษมาคม  อำเภอกมลาไสย  จังหวัดกาฬสินธุ์  ช่วงเดือนธันวาคม พ.ศ. ๒๕๓๒ ซึ่งเป็นปีที่ข้าพเจ้าบวชพรรษาแรก  ตอนนั้นมีความรู้สึกว่า ตัวเองเป็นผู้มีบุญวาสนามากที่มีโอกาสได้ปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน  เพราะในช่วงนั้นวัดที่บ้านและใกล้เคียงไม่มีการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน ทั้งชาวบ้านและพระสงฆ์ในสมัยนั้นถือว่าเป็นเรื่องไกลตัว เป็นเรื่องศักดิ์สิทธิ์  ไม่สามารถนำมาปฏิบัติได้ในยุคนั้นเพราะถือว่าเป็นของที่มีเฉพาะในสมัย พุทธกาล  จากจุดเริ่มต้นตรงนั้นทำให้ข้าพเจ้ามีความปรารถนาในใจมาตลอดว่า  ถ้ามีโอกาสจะหาเวลาปฏิบัติธรรมอย่างจริงจัง  จนได้เข้ามาเรียนในมหาจุฬาฯ จึงได้มีโอกาสปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานตามหลักสูตรของมหาวิทยาลัย ในปีแรก เริ่มที่วัดอัมพวัน  จังหวัดสิงห์บุรี  ปีที่สองที่สำนักวิปัสสนาวิเวกอาศรม  จังหวัดชลบุรี  เป็นการไปปฏิบัติชดเชย เพราะข้าพเจ้าทำหนังสือขอลาเพื่อเตรียมตัวสอบบาลี  ตามปกติต้องไปปฏิบัติที่แคมป์สน (เฉพาะคณะมนุษยศาสตร์ ชั้นปีที่ ๒)
การ ไปปฏิบัติในปีนั้น  สภาวธรรมอันหนึ่งได้เกิดขึ้นแก่ข้าพเจ้าคือความโปร่ง โล่งของจิตใจ  ในตอนบ่ายวันหนึ่ง  ข้าพเจ้าตัดสินใจไม่กำหนดอารมณ์ภายนอกคือเสียงที่ได้ยิน  และอารมณ์ภายในคือ อาการพอง  ยุบของท้อง เพราะยิ่งกำหนดยิ่งทำให้จิตฟุ้งซ่านและเกิดความเครียดจึงเปลี่ยนวิธีด้วยตน เองด้วยการนั่งกำหนดดูอาการเต้นของหัวใจเฉย ๆ กำหนดตามไป ๆ จนในที่สุดเกิดสภาวะเหมือนกับว่า จิตมันลงล็อคอะไรสักอย่างหนึ่งเกิดแสงสว่างขึ้นในใจและรู้สึกเบาสบาย โปร่ง โล่ง ไปหมด  ความรู้สึกตอนนั้นไม่สามารถบรรยายเป็นคำพูดได้หมด  มันมีความสุข  ทั้งปีติปนกัน จากนั้นก็พยายามทำเหมือนเดิมอีก  แต่สภาวะอันนั้นก็ไม่เกิดขึ้นอีก  ได้สอบถามครูบาอาจารย์ผู้มีประสบการณ์ท่านบอกว่า อารมณ์ใดที่เกิดขึ้นแล้วก็จะไม่เกิดอีกเพราะมันเกิดแล้วก็จะเจริญเติบโตขึ้น เป็นอย่างอื่นอุปมาเหมือนต้นไม้ เมื่อเกิดขึ้นแล้วก็จะเจริญเติบโตขึ้นไปเรื่อย ๆ ต้นเดิมก็จะหายไปโดยปริยาย
ในปีพ.ศ. ๒๕๕๒ ข้าพเจ้าได้เข้าปฏิบัติที่วัดภัททันตะอาสภาราม จังหวัดชลบุรีในฐานะนิสิตชั้นปริญญาเอก  ผลของการปฏิบัติทำให้ข้าพเจ้าเข้าใจคำว่า “ขณิกสมาธิ” ที่ใช้กับการเจริญวิปัสสนากรรมฐานมากขึ้น ความเข้าใจของข้าพเจ้าอาจจะถูกหรือผิดก็ได้ คือเข้าใจว่า ขณิกสมาธิที่ใช้กับวิปัสสนากรรมฐาน คือให้มีสมาธิพอประมาณไม่มากเกินไปหรือน้อยเกินไป  เปรียบเสมือนชาวนาคลาดนา ที่จะทำการดำนา  เขาจะปล่อยน้ำออกจากแปลงนาไม่ให้มีน้ำมากหรือน้อยเกินไป  ให้มีพอสมดุลกันกับโคลนตม  เพื่อที่จะคลาดได้ลื่นไหลและมองเห็นว่า ตรงไหนราบเรียบแล้วตรงไหนยังเป็นเนินอยู่  ถ้าชาวนาปล่อยให้มีน้ำมากเกินไปก็จะมองไม่เห็น  คลาดได้ไม่ดี  ถ้าให้มีน้ำน้อยเกินไปก็จะคลาดยาก เพราะโคลนตมจะเหนียวไม่ลื่นไหล  ในการเจริญวิปัสสนากรรมฐานก็เช่นเดียวกันคือใช้สมาธิเพียงเล็กน้อยไม่ให้ สมาธิมากเกินไป  ไม่น้อยเกินไป เพราะถ้าสมาธิมากเกินไปก็จะทำให้หลับไม่สามารถกำหนดอารมณ์ที่เกิดขึ้นใน ปัจจุบันได้  ถ้าสมาธิน้อยเกินไปก็จะทำให้จิตฟุ้งซ่านหรือห่อเหี่ยวทำให้เครียดหรือท้อแท้ ได้  วิธีที่ดีที่สุดคือ ทุกอิริยาบถไม่ว่าจะเป็นการ ยืน เดิน นั่ง นอน ต้องให้มีสมาธิเข้าไปหล่อเลี้ยงเสมอ ข้าพเจ้ารู้วิธีนี้แล้วจึงเอาไปปรับใช้กับการปฏิบัติ  ปรากฏว่าได้ผลเป็นที่น่าพอใจ
ในปีพ.ศ. ๒๕๕๔  ช่วงเดือนมกราคมและเดือนกุมภาพันธ์  ข้าพเจ้าได้ไปปฏิบัติที่วัดภัททันตะอีกครั้ง  คราวนี้ข้าพเจ้าได้รู้ว่า  การกำหนดลอย ๆ โดยสติไม่คมชัดไม่สามารถจะหยุดยั้งอารมณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นได้ หมายความว่า เมื่อเราคิด เรากำหนดว่า คิดหนอ  คิดหนอ คิดหนอ ครบ ๓ ครั้งแล้วก็กำหนดอิริยาบถอื่นต่อไป เช่น การเดินเป็นต้น  ไม่สามารถหยุดยั้งความคิดได้ อุปมาเหมือนกับการหมุนเกลียวที่สึกหรอ  หรืออุปมาเหมือนกับการดาวโหลดโปรแกรมหรือข้อมูลบางอย่างจากอินเตอร์เน็ต ถ้ามันโหลดไม่ติดมันก็จะหมุนอยู่อย่างนั้นแต่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไร ทำให้เสียเวลาเปล่า  เมื่อข้าพเจ้ารู้อย่างนี้แล้วจึงได้เปลี่ยนวิธีใหม่คือ ตั้งใจกำหนดทุกครั้งที่อารมณ์ต่าง ๆ เกิดขึ้น ผลปรากฏว่า การปฏิบัติได้ผลเป็นที่น่าพอใจ
มีอาจารย์ที่ทำหน้าที่นำปฏิบัติและสอบอารมณ์แนะนำให้หลับตากำหนดดูรูปยืน ๓ รอบ คือ รอบแรกตั้งแต่ศีรษะลงมาจนถึงปลายเท้า  รอบที่สองตั้งแต่ปลายเท้าจนถึงศีรษะ รอบที่ ๓ ตั้งแต่ศีรษะจนถึงปลายเท้าอีก  ข้าพเจ้าลองทำตาม  รู้สึกว่าไม่ก้าวหน้าสติไม่มีกำลัง  จึงเปลี่ยนมากำหนดดูที่ต้นจิตคือตรงลิ้นปี่ ซึ่งวิธีนี้เป็นวิธีดั้งเดิมที่หลวงพ่อภัททันตะแนะนำลูกศิษย์และลูกศิษย์ก็ นำมาสอนลูกศิษย์อีกครั้งหนึ่ง ข้าพเจ้ารู้สึกว่า วิธีนี้ทำให้เกิดสติดีกว่า (สำหรับข้าพเจ้า  คนอื่นอาจจะเห็นแย้งก็ได้)
อีกอย่างหนึ่งที่ข้าพเจ้า เข้าใจเพิ่มขึ้นก็คือ ความเป็นอนิจจัง ไม่เที่ยงของสรรพสิ่ง คือ  เข้าใจว่าอะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด  เราก็ต้องยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้น ไม่ไปทัดทานหรือทวนกระแส  เมื่อเข้าใจอย่างนี้แล้วทำให้มีความทุกข์น้อยลง   ข้าพเจ้าเข้าใจว่า ที่คนส่วนมากเป็นทุกข์  เพราะไปปรุงแต่งอยากให้มันเป็นอย่างที่ตัวเองต้องการหรือปรารถนา ไม่ได้กำหนดรู้ตามที่มันเป็น  ซึ่งเป็นคำสอนที่พระพุทธเจ้าเทศน์สอนพวกปัญจวัคคีย์ครั้งแรกในปฐมเทศนา คือ ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร  ตอนหนึ่งที่ว่า เมื่อทุกข์เกิดขึ้นให้กำหนดรู้ทุกข์แล้วจึงกำหนดหาสาเหตุของมัน  เนื้อความตรงนี้เราเคยท่องเคยสวดมาตั้งนานแล้ว  แต่ข้าพเจ้าก็ไม่เข้าใจความหมายที่เป็นสภาวธรรม เพียงแต่เข้าใจตามคำแปลที่แปลกันสืบ ๆ มา

ประสบการณ์การปฏิบัติธรรม โดย...พระมหาธานินทร์ อาทิตวโร

www.obm17.com/index.php?option=com_content.

วันอังคารที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2554

ปุ๋ย ภรทิพย์ นาคหิรัญกนก อดีตนางงามจักรวาลของเมืองไทยปี ๓๑

ภาพนายกหญิงคนแรก ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร รับพระบรมราชโองการแต่งตั้งเป็นนายก


โปรดเกล้าฯ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
นายกรัฐมนตรี คนที่ 28












ภาพ : แนวหน้า
8 สิงหาคม 2554


โปรดเกล้าฯ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
นายกรัฐมนตรี คนที่ 28



ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร รับพระบรมราชโองการเป็นนายกรัฐมนตรี คนที่ 28

นายกรัฐมนตรี ประกาศพันธสัญญา จะขอสร้างสุข-สลายทุกข์ ให้แก่พี่น้องประชาชนอย่างสุดกำลังความสามารถ ดิฉันจะไม่ทำเพื่อกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งแต่จะทำเพื่อประเทศชาติและคนไทยทุกคน...

เวลา 18.30 น. วันนี้ (8ม.ค.)
  นายพิทูร พุ่มหิรัญ เลขาธิการสำนักนายกรัฐมนตรี อัญเชิญพระบรมราชโองการ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลเดช ความว่า ทรงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 28 ของประเทศไทย มายัง บริเวณชั้นที่ 7 ที่ทำการพรรคเพื่อไทย อาคาร เอโอไอ ถ.เพชรบุรีตัดใหม่ เพื่อประกาศให้ น.ส. ยิ่งลักษณ์ ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการ

จากนั้น นายกรัฐมนตรีคนที่ 28 ของประเทศไทย ได้กล่าวกับสื่อมวลชน ว่า  พี่น้องประชาชนชาวไทยที่เคารพรักทุกท่าน ในวาระที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯให้ดิฉันดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เพื่อรับสนองพระบรมราชโองการ รับใช้เบื้องพระยุคลบาทประเทศชาติและประชาชน ในวาระนี้ ดิฉันถือว่าเป็นเกียรติยศอย่างสูงสุด และเป็นมิ่งขวัญแก่ชีวิตอย่างหาที่สุดไม่ได้

ดิฉันและครอบครัว รู้สึกสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเป็นล้นพ้น นับเป็นพลังอันยิ่งใหญ่ที่ดิฉันเทิดทูนไว้เหนือเกล้าเหนือกระหม่อม ด้วยความจงรักภักดี

ดิฉันพร้อมจะทุ่มเทมุ่งมั่นอย่างเต็มที่ และจะอุทิศตนเพื่อตอบแทนบุญคุณแผ่นดินให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประเทศชาติและประชาชนต่อไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเจริญพระชนมายุ 84 พรรษา ในเดือนธันวาคมนี้ และในวโรกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ ในวันที่ 12 สิงหาคม ปีนี้ นับเป็นวโรกาสพิเศษที่สำคัญยิ่งต่อพี่น้องชาวไทยทุกคน ดิฉันขอเชิญชวนพี่น้องชาวไทยทุกหมู่เหล่า ได้ร่วมกันจัดงานถวายพระพร เพื่อแสดงความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ แก่ล้นเกล้าล้นกระหม่อมทั้งสองประองค์ เพื่อเป็นสิริมงคลแก่ทุกท่านโดยพร้อมเพรียงกัน

ดิฉันขอขอบคุณพี่น้องประชาชนคนไทย ขอบคุณสมาชิกพรรค ขอบคุณพี่น้องผู้ร่วมอุดมการณ์ประชาธิปไตย และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทุกท่าน ที่ได้กรุณาให้โอกาสแกดิฉัน การทำงานในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ดิฉันถือเป็นภาระอันยิ่งใหญ่ที่ต้องการพลังจากทุกภาคส่วน เพื่อร่วมกันผลักดันให้ประเทศชาติของเรา ก้าวผ่านอุปสรรคและปัญหาต่างๆ เพื่อประกาศเกียรติยศศักดิ์ศรี ให้เป็นที่ประจักษ์และยอมรับของนานาประเทศในสากล

ดิฉันยังระลึกถึงถึงพระบรมราโชวาท ที่ได้พระราชทานแก่บัณฑิตมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เมื่อวันที่ 24 ม.ค.2532 ซึ่งดิฉันเป็นบัณฑิตจบใหม่ในปีนั้นด้วย ดิฉันขออัญเชิญพระบรมราโชวาทบางตอนดังนี้ "ประการที่สำคัญต้องพยายามใช้ความคิดความเฉลียวฉลาดปรับปรุงตัวปรับปรุงงานให้มีประสิทธิภาพเสมอ พร้อมทั้งพยายามประสานงาน ประสานประโยชน์ ให้แก่ทุกคนและทุกฝ่ายที่สัมพันธ์เกี่ยวข้องด้วย โดยสอดคล้องทั่วถึงงานจึงจะสัมฤทธิ์ผลเป็นประโยชน์ที่พึงประสงค์ คือเป็นประโยชน์แก่งาน แก่ตัวผู้ปฏิบัติแก่ส่วนรวม พร้อมทุกส่วน จึงขอให้บัณฑิตนำคำพูดนี้ไปพิจารณาให้เข้าใจเพื่อใช้เป็นแนวทางต่อไป"

ซึ่งดิฉันได้นำมาเทิดทูลไว้เนื้อเกล้าเหนือกระหม่อม และจะใช้เป็นแนวทางในการทำงานเพื่อผลักดันงานต่างๆ ของรัฐบาลต่อไป

ดิฉันขอปวารณา นำความรู้ความสามารถและสติปัญญา ทุ่มเททำงานด้วยความซื่อสัตย์สุจริตและตั้งใจอย่างเต็มที่ เพื่อนำพาประเทศของเราไปสู่ความสงบสุข ความสามัคคีปรองดองมีเจตนารมณ์แน่วแน่ ที่จะเข้ามาทำงานเพื่อแก้ไขปัญหาให้พี่น้องประชาชน

ดิฉันพร้อมที่จะทำงานร่วมกับพี่น้องข้าราชการ รัฐวิสาหกิจ ภาคเอกชน สื่อมวลชนทุกแขนง และพี่น้องประชาชนทุกพื้นที่ อย่างตั้งใจและเต็มใจ เพื่อให้ความสุขนั้นกลับคืนสู่พี่น้องคนไทยทั้งประเทศอีกครั้ง

ดิฉันตระหนักดีว่าการเป็นนายกรัฐมนตรีผู้หญิงในขณะนี้ เป็นความท้าทายและความคาดหวังอย่างมากจากพี่น้องประชาชน แต่ดิฉันเชื่อมั่นว่าความเป็นผู้หญิงไม่เป็นอุปสรรคในการทำงาน ตรงกันข้ามความเข้มแข็งที่ควบคู่กับความอ่อนโยน การรับฟังปัญหาทัศนะที่แตกต่าง ช่วยให้เรานั้นมองเห็นทางเลือกใหม่ๆ
  ในการแก้ไขปัญหาได้ง่ายขึ้น

สุดท้ายนี้ ดิฉันขอขอบคุณพี่น้องประชาชนทั่วประเทศที่ให้โอกาสดิฉัน ซึ่งถือว่าเป็นพันธสัญญาทางใจ ให้ตระหนักถึงหน้าที่และความรับผิดชอบที่ยิ่งใหญ่ในการตอบแทนบุญคุณแผ่นดิน ด้วยความภาคภูมิใจ ดิฉันจะมุ่งมั่นสร้างสุขสลายทุกข์ให้แก่พี่น้องประชาชนอย่างสุดกำลังความสามารถ ดิฉันจะไม่ทำเพื่อกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งแต่จะทำเพื่อประเทศชาติและคนไทยทุกคน ขอขอบคุณคะ
 
สำหรับประวัติของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เกิดเมื่อวันที่ 21 มิถุนายน พ.ศ.2510 ปัจจุบันอายุ 44 ปี เป็นบุตรคนสุดท้องในจำนวน 10 คน ของ เลิศ ชินวัตร และยินดี ชินวัตร สมรสกับ นายอนุสรณ์ อมรฉัตร อดีตผู้บริหารในเครือบริษัท ซีพี และอาจารย์พิเศษมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และอดีตกรรมการผู้อำนวยการบริษัท เอ็ม ลิงก์ เอเชีย คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) โดย มีบุตรชายด้วยกันหนึ่งคน ชื่อ ศุภเสกข์ อมรฉัตร หรือ น้องไปป์

การศึกษา

นายกรัฐมนตรี จบการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนต้นจาก โรงเรียนเรยีนาเชลีวิทยาลัยมัธยมศึกษาตอนปลายจากโรงเรียนยุพราชวิทยาลัย ปริญญาตรีจาก คณะรัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ สาขาวิชารัฐศาสตร์
  (สิงห์ขาวรุ่น 21) เมื่อปี พ.ศ.2531 และระดับปริญญาโท รัฐประศาสนศาสตรมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยเคนทักกีสเตต สหรัฐอเมริกา เมื่อปี พ.ศ.2533

การทำงาน

เมื่อปี พ.ศ.2534 เข้าทำงานที่บริษัท ชินวัตร ไดเร็กทอรี่ส์ จำกัด (ภายหลังเปลี่ยนชื่อเป็นบริษัทเทเลอินโฟ มีเดีย จำกัด มหาชน) ซึ่งเป็นธุรกิจสื่อสิ่งพิมพ์ฐานข้อมูลและการสื่อสาร ในตำแหน่งพนักงานฝึกหัดด้านการตลาดและการขาย หลังจากนั้นในปีเดียวกันเลื่อนตำแหน่งเป็นผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ จนกระทั่งสู่ตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายผลิตในเวลาต่อมา จากนั้น พ.ศ.2537 จึงเป็นผู้จัดการทั่วไปของบริษัทโฆษณา เรนโบว์ มีเดีย ซึ่งเดิมเป็นแผนกงานหนึ่งของบริษัท ไอบีซี อินเตอร์เนชั่นแนล บรอดคาสติ้ง คอร์ปอเรชั่น หรือ ทรูวิชั่นส์ ในปัจจุบัน ตำแหน่งสุดท้าย ก่อนลาออกจากบริษัทไอบีซีฯ คือตำแหน่งรองกรรมการผู้อำนวยการ จากนั้นในปี พ.ศ.2545

เข้าสู่แวดวงธุรกิจเครือข่ายโทรศัพท์และการสื่อสาร ดำรงตำแหน่งกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ และรองกรรมการผู้อำนวยการสายงานตลาด บริษัท แอดวานซ์ อินโพร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ เอไอเอส ในเครือบริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (ชินคอร์ป) โดยได้ขึ้นดำรงตำแหน่งประธานกรรมการบริหารบริษัท เป็นตำแหน่งสุดท้าย

หลังจาก ตระกูลชินวัตร และดามาพงศ์ข่ยหุ้นกลุ่มบริษัทชินคอร์ป
  ให้แก่ เทมาเส็ก โฮลดิ้งส์ของ รัฐบาลสิงคโปร์ ก็ได้ลาออกจากตำแหน่งในเอไอเอส  และได้ขายหุ้นที่ถืออยู่ในมือทั้งหมดตั้งแต่ปลาย พ.ศ.2548 เพื่อบริหารธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ คือบริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นธุรกิจในเครือของตระกูล โดยดำรงตำแหน่งประธานกรรมการบริหาร ดูแลพอร์ตการลงทุนพัฒนาที่ดินทั้งหมดแทนบุษบา ดามาพงศ์เมื่อวันที่ 1 มีนาคม พ.ศ.2549
  อลิตเติ้ลบุ๊ดดะดอทคอม และไทยรัฐ
ข่าว : ไทยรัฐ
8 สิงหาคม 2554