วันอังคารที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2553

สนทนาธรรม ๒

หลวงปู่อายุยืนที่สุดในโลก

พบหลวงปู่อายุ135ปีแก่กว่าหญิงญี่ปุ่นที่ลงกินเนสส์บุ๊ค
พบหลวงปู่อายุ135ปีแก่กว่าหญิงญี่ปุ่นที่ลงกินเนสส์บุ๊ค เหลนที่บวชเป็นพระอายุ 72 ปี ยันสุขภาพแข็งแรง เผยคนในตระกูลส่วนใหญ่อายุเกินร้อยทั้งสิ้น

เรื่องราวของพระสงฆ์อายุยืนรายนี้

เปิดเผยหลังหลวงปู่ละมัย ฐิตมโน อายุ 135 ปี เจ้าสำนักสงฆ์สวนป่าสมุนไพร อ.เมือง จ.เพชรบูรณ์ พระดังของ จ.เพชรบูรณ์ ซึ่งมีอายุยืนรายนี้ได้เดินทางมาที่ จ.เชียงใหม่ พร้อมกับพระครูปัญญาวุธากร อายุ 72 ปี เจ้าอาวาสวัดคีรีบัววนาราม ต.เขาน้อย อ.ลำสนธิ จ.ลพบุรี เพื่อมาร่วมพิธีพุทธาภิเษกพระพิฆเนศนั่งสังข์ ซึ่งจัดขึ้นที่วัดพระบาทปางแฟน อ.ดอยสะเก็ด จ.เชียงใหม่ เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา

พระครูปัญญาวุธากร เหลนหลวงปู่ละมัย กล่าวว่า

ถือเป็นพระที่มีอายุมากที่สุดในไทยหรือในโลกก็ว่าได้ แต่เนื่องจากเมื่อ 135 ปีที่ผ่านมาไม่มีการทำใบสำคัญการแจ้งเกิด ทำให้หลวงปู่ไม่มีใบเกิดแสดงอายุ จึงขาดหลักฐานเลยไม่ได้ถูกบันทึกไว้ในกินเนสส์บุ๊ค

แต่จากการสอบถามประวัติจากบรรพบุรุษ

เมื่อบวกลบตัวเลขและนับย้อน พ.ศ.ไปตามคำบอกเล่าทำให้ทราบว่ามีอายุ 135 ปี ซึ่งมากกว่าหญิงชาวญี่ปุ่นที่มีอายุ 120 ปี ที่กินเนสส์บุ๊คเคยทำบันทึกไว้ แต่โดยส่วนตัวแล้วหลวงปู่ไม่ยอมเปิดตัวเรื่องอายุยืนให้ใครฟัง คงรู้แต่ชาวบ้านและญาติโยมที่ศรัทธาเท่านั้น

ทั้งนี้พบว่า ญาติทุกคนในตระกูลนี้ต่างมีอายุตั้งแต่ 100 ปีขึ้นไป

แต่เสียชีวิตไปกันหมดแล้ว เช่น แม่ของหลวงปู่ได้เสียชีวิตลงเมื่อไม่นานมานี้ ขณะอายุ 162 ปี

พระครูปัญญาวุธากร กล่าวว่า

สาเหตุที่ทำให้อายุยืน คาดว่ามาจากการที่หลวงปู่ชอบกินสมุนไพร ชอบฉันหมากเป็นประจำ ส่วนอาหารที่ชอบที่สุดคือ ปลาร้า ปัจจุบันเส้นผมของหลวงปู่ยังดกยังดำ สุขภาพแข็งแรงหากเทียบกับคนในวัยชราโดยทั่วไป

ส่วนประวัติของหลวงปู่ละมัย มีภูมิลำเนาเดิมอยู่ที่นาลอง จ.บุรีรัมย์

เมื่อครั้งอายุ 4 ขวบ โยมพ่อได้พาเดินทางออกจากประเทศไทยไปอยู่ที่ประเทศกัมพูชา ระหว่างที่อยู่กัมพูชาหลวงปู่ทำไร่ทำสวน กระทั่งอายุได้ 28 ปี (ปี 2443) จึงบวชเป็นพระที่ประเทศกัมพูชา ต่อมาเมื่อปี 2504 เดินทางกลับประเทศไทย โดยมาพัฒนาและตั้งสำนักสงฆ์ขึ้นที่สวนป่าสมุนไพร อ.เมือง จ.เพชรบูรณ์ พร้อมจัดตั้งเป็นศูนย์ปลูกสมุนไพรนานาชนิด
 

วันจันทร์ที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2553

หมาขี้เรื้อนเปลี่ยนคนใจดำ

หมาขี้ เรื้อน เปลื่ยนคนใจดำ






เรื่องมีอยู่ว่า.. พี่ชิตแกเป็นคนใจดำครับ ชอบยิงนกตกปลาไปเรื่อย

แต่ที่หนักก็คงเป็นเนื้อหมา

แกกินแหลกครับแต่ แม่แกบอกมันบาปนะลูก(ไม่สนโว้ย)

เมื่อราว 15 ปีก่อน มีเหตุการณ์ที่ทำให้แกเปลี่ยนไป

ครั้งนั้นมีหมาขี้เรื้อนตัวหนึ่งครับมันมักวิ่งไปหาของกินแถวๆบ้านแก บ่อย

เพราะบ้านแกติดตลาด พี่แกกินหมาอยู่บ่อยๆแต่ กรณีหมาขี้เรื้อนแกบอก 'xxx กินไม่ ลงว่ะ '

แกทำอย่างเดียวคือไล่ฆ่า แต่มันรอดได้ทุกครั้ง (สงสัยมีของ)

มันไปหาของกินทีก็ได้บางทีก็ไม่ได้

คราวนั้นเนื้อแห้งที่แกตากไว้หายไป พอมองไปก็เห็นแม่หมาขี้เรื้อนวิ่งหลุนๆไป

แกเดือดทันทีครับวิ่งตามไป

คราวนี้ทันครับเพราะหมาขี้เรื้อนวิ่งช้ามาก

แกทุบไปทีเดียวหมา นั่นล้มลงชักทันที (แกบอกว่าหากตีตรงจุด แค่ใช้ไม้บรรทัดก็ตาย)

แกทิ้ง ไว้ตรงนั้นไม่อยากจับแต่จะทำกินตรงนั้น จึงกลับบ้านไปเตรียมของ

(แค้นจัดอยากกินหมาขี้เรื้อน) ให้ผมเฝ้าไว้

ผมก็มัวแต่เก็บตะขบ จนลืมดู (ในใจอยากให้มันรีบไปจะได้ไม่ตาย) มันไปจริงครับหายวับไป พี่ชิตแก

โกรธมากคงอยากเตะผมเต็มแก่ แต่ลุงผม แกเป็นนักเลงใหญ่และเป็นคนสอนวิธีฆ่าหมาให้

ก็ต้องวิ่งตามอย่างเดียวพร้อมบ่น ' ทำไมมันไม่ตายวะ '

พักหนึ่งก็ได้ยินเสียงหมาเห่า

แกตามทันทีพอไปถึง ภาพที่เห็น ..............................................

หมาขี้ เรื้อนกำลังจะตายมันมีลูกที่ต้องเลี้ยง 5 ตัวครับ วัยกำลังหย่านมบางตัวยังกินนมอยู่

บางตัวก็วิ่งไป คาบเนื้อที่แม่หมาขี้เรื้อนคาบไปฝาก (เห็นกับตา)

ที่มันยังไม่ยอมตายเพราะต้องกลับไปให้นมลูก แม้น้ำนมแห้งกรัง

เอาอาหารไปให้ลูกมัน เรียกลูกๆเพื่อให้นม ให้อาหาร เป็นครั้งสุดท้าย

แม่หมาพยายามอย่างดี ที่สุด

มันมองผมกับพี่ชิตอย่างขอร้อง ขอให้มันให้นมลูกเป็นครั้งสุดท้ายก่อนตาย

ไม่อยากเชื่อนั่นคือน้ำตา ของหมาขี้เรื้อน มันแค่ต้องการให้นมลูกก่อนตาย

พี่ชิตไม้หล่นลงกับ พื้น เดินเข้าไปดูแม่หมานั่น ในยามนั้นสิ่งที่แกเห็นไม่ใช่หมาขี้เรื้อน

แต่แกเห็นแม่ที่ยิ่งใหญ่ที่ทนเจ็บกลับไปหาลูก

แกไม่พูดอะไรทุกอย่างจุกอยู่ที่ลำคอสายตาอ่อนโยนลง

ลูกหมาตัวหนึ่ง วิ่งไปหาแกกระดิกหางให้ แกอุ้มลูกหมาขึ้นพร้อมพูดว่า ' ขอโทษ ' พูดได้แค่นั้นแม่หมาก็

ตาย เราช่วยกันฝังแม่หมา

แกรับเลี้ยงหมานั่นไว้ ทั้ง5ตัวตั้งแต่นั้นแกกลายเป็นคนใจดีไม่ไล่ยิงนกยิงหมายิงแมวอีก

แกบอก ' มันอาจมี ลูกรออยู่ก็ใด้ '

เมื่อ 12 สิงหา 2 ปีที่แล้ว แกเอามะลิร้อยเป็นพวงไปให้แม่ทั้งๆ ที่ไม่เคยทำ

พูด กับแม่ว่า ' แม่ตอนผมอายุ16 แม่สอนผมยังไงนะสอนอีกหนใด้ไหมครับ '

แม่แกน้ำตาคลอพูดไม่ออก

ไม่อยากเชื่อแม่หมาขี้เรื้อนตายไป 1 ตัว

กลับ ทำให้คนใจดำอย่างแกเปลี่ยนไปขนาดนี้




รักแม่ . . .















































































วันอาทิตย์ที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2553

คำวัดวันละคำ



วันนี้ขอเสนอคำว่า  "อนุโมทนากถา" 




   มีคำอยู่คำหนึ่งที่ชาวพุทธพูดกันจนติดปาก คำนั้นก็คือ
"อนุโมทนา" ความหมายของอนุโมทนาคืออะไร และเมื่อไหร่ที่ควรใช้คำนี้ คำตอบก็คือ...

ในหนังสือ ‘คำวัด' โดยพระธรรมกิตติวงศ์ ได้อธิบายความหมายของคำนี้ไว้ว่า
อนุโมทนา หมายถึง การ แสดงความชื่นชมยินดีในบุญหรือความดีที่ผู้อื่นทำ การอนุโมทนานั้นอาจทำได้ด้วยการพูด เขียนหนังสือ หรือแสดงกิริยาก็ได้ เช่น เมื่อได้ยินเสียงย่ำฆ้องกลองที่วัดในตอนเย็น แสดงว่าพระท่านทำวัตรเย็นจบ ก็ยกมือขึ้นประนมไหว้ เปล่งวาจาว่าสาธุ เป็นการอนุโมทนาต่อพระสงฆ์ที่วัด หรือมีใครทำบุญแล้วมาบอกให้ทราบ ทราบแล้วก็ยกมือขึ้นสาธุ เป็นการอนุโมทนาบุญของเขาด้วย ..


   เรียกการพูดแสดงความยินดีในความดีของผู้อื่นว่า
"อนุโมทนากถา" เรียกหนังสือรับรองการบริจาคที่วัดออกให้แก่ผู้บริจาคทรัพย์ทำบุญว่า "อนุโมทนาบัตร หรือใบอนุโมทนา" เรียกบุญที่เกิดจากการอนุโมทนาตามตัวอย่างข้างต้นว่า "อนุโมทนามัยบุญ"

และ การที่ภิกษุกล่าว สัมโมทนียกถา อันแปลว่า ถ้อยคำอันเป็นที่บันเทิงใจ ใช้เรียกการที่ภิกษุพูดแสดงความขอบคุณหรือกล่าวถึงประโยชน์และอานิสงส์ของ ความดี ของบุญกุศล ที่ทายกทายิกาได้ทำ เช่น ถวายอาหาร สร้างกุฏิ สร้างหอระฆัง เป็นต้น ไว้ในบวรพระพุทธศาสนา บางทีเรียกว่า อนุโมทนากถา ..


   ส่วนในหนังสือศาสนพิธี เล่ม ๒ ฉบับมาตรฐาน โดยคณาจารย์แห่งโรงพิมพ์เลี่ยงเชียง ได้อธิบายเพิ่มเติมว่า ธรรมเนียมของพระภิกษุสามเณร เมื่อได้รับถวายปัจจัยสี่ ไม่ว่าจะเป็นภัตตาหาร หรือทานวัตถุใดๆ ก็ตามจากทายกทายิกา จะต้องทำพิธีอนุโมทนาทานนั้น ไม่ว่าจะได้รับรูปเดียวหรือหลายรูปก็ตาม ต้องอนุโมทนาทุกครั้ง จะละเว้นเสียมิได้ถือว่าผิดพระพุทธานุญาต ต่างแต่ว่าอนุโมทนาต่อหน้าหรือลับหลังเท่านั้น

   ธรรมเนียมนี้ปฏิบัติ กันมาแต่ครั้งพุทธกาลแล้ว ฉะนั้นการอนุโมทนาทานจึงเป็น ประเพณีมานานในหมู่สงฆ์ การประกอบพิธีอนุโมทนาลับหลังทา ยกทายิกามีวิธีเดียว คือ การบิณฑบาตที่ต้องออกรับในสถานที่ต่างๆ ทั่วไปไม่จำกัด กรณีเช่นนี้ไม่ต้อง อนุโมทนาต่อหน้าขณะที่รับบิณฑบาต แต่กลับมาถึงวัดฉันอาหารเรียบร้อยแล้ว จึงอนุโมทนา หรือยกไปอนุโมทนาในช่วงทำวัตรสวดมนต์ เช้า-เย็นก็ได้ 


ส่วนพิธีอย่างอื่นนอกจากนี้ควรจะอนุโมทนาต่อหน้าเสมอไปจึงจะสมควร พิธีอนุโมทนาแบ่งออกเป็นหัวข้อใหญ่ๆ ได้ ๒ หัวข้อ คือ (๑) สามัญอนุโมทนา คือ การอนุโมทนาที่นิยมใช้ปฏิบัติกันโดยทั่วไป ไม่จำกัดงานหนึ่งงานใด ก็คงใช้คำอนุโมทนาแบบเดียวกัน (๒) วิสามัญอนุโมทนา คือ การอนุโมทนาด้วยบทสวดพิเศษ คืออนุโมทนาเฉพาะทาน เฉพาะกาล และเฉพาะเรื่อง


สำหรับคำว่า
"สาธุ" แปลว่า "ดีแล้ว ชอบแล้ว" ดังนั้นการเปล่งวาจาว่าสาธุก็เพื่อแสดงความเห็นชอบ ด้วยชื่นชม หรือยกย่องสรรเสริญ เพื่ออนุโมทนาในบุญ หรือความดีที่ผู้อื่นทำนั่นเอง

ในพระไตรปิฎก ได้พูดเรื่องผลบุญของการอนุโมทนาที่ทำให้ไปเกิดในวิหารวิมานว่า

ท่านพระ อนุรุทธเถระได้ถามนางเทพธิดาตนหนึ่งว่า เหตุใดมีวรรณะงามยิ่งนัก มีรัศมีส่องสว่างไสวไป ทั่วทุกทิศ สถิตอยู่เหมือนดาวประกายพฤกษ์ มีเสียงอันเป็นทิพย์น่าฟัง รื่นรมย์ใจ มีกลิ่นทิพย์อันหอมหวนยวนใจ เสียงของเครื่องประดับผมก็ดังเสียงไพเราะดุจเสียงดนตรี แม้พวงมาลัยบนศีรษะก็มีกลิ่นหอมชวนให้เบิกบานใจ หอมฟุ้งไปทั่วทุกทิศ ขอท่านจงบอก นี้เป็นผลแห่งกรรมอะไร ?


  นางเทพธิดาตอบว่า ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญ นางวิสาขามหาอุบาสิกา เป็นสหายของดิฉัน อยู่ในเมืองสาวัตถี ได้สร้างมหาวิหารถวายสงฆ์ ดิฉันเห็นมหาวิหารนั้น แล้วมีจิตเลื่อมใสอนุโมทนา ก็วิมานอันเป็นที่รักนี้อันดิ ฉันได้แล้ว เพราะการอนุโมทนาด้วยจิตบริสุทธิ์แต่อย่างเดียวเท่านั้น วิมานนี้เป็นวิมานอัศจรรย์น่าดูน่าชม โดยรอบสูง ๑๖ โยชน์ เลื่อนลอยไปในอากาศ ได้ตามความปรารถนาของดิฉัน ดิฉันมีปราสาทเป็นที่อยู่อาศัย อันบุญกรรมจัดแจงเนรมิตให้เป็นส่วนๆ งามรุ่งโรจน์ตลอดร้อยโยชน์โดยรอบทิศ วิมานอันมีรัศมีสว่างไสวไปทั่วทุกทิศ น่าอัศจรรย์ น่าดูน่าชมเช่นนี้ เกิดแต่ดิฉันเพราะกุศลกรรมทั้งหลาย ควรทำบุญโดยแท้
สรุปแล้วการอนุโมทนา เป็นสิ่งดี แต่สิ่งที่ดีกว่าก็คือ การลงมือทำความดี สร้างบุญกุศลนั้นๆ ด้วยตนเอง 

ที่มา : http://www.fwdder.com/topic/258615

หมอรักษาโรคมะเร็งที่ไม่ธรรมดา







   ฮือฮา!! หมอเทวดา รักษามะเร็ง นายแพทย์สมหมาย ทองประเสริฐ
เป็นข่าวฮือฮา หลังกิตติศัพท์ของ นายแพทย์สมหมาย ทองประเสริฐ หรือที่ชาวบ้านหลายคนเรียก หมอเทวดา ในความสามารถวินิจฉัยและวิธีการรักษาโรคมะเร็งมากว่า 30 ปี จนผู้ป่วยหลายรายหายป่วย บางรายอาการดีขึ้น เมื่อข่าวเผยแพร่ออกไปทั้งทางหนังสือพิมพ์ และรายการข่าว3มิติ ทำให้คนที่ป่วยเป็นโรคมะเร็งแห่มารักษาแน่นคลีนิค บางรายมารอคลีนิกเปิดตั้งแต่ตี 2
นายแพทย์สมหมาย กล่าวว่า อย่าเรียกตนว่าเป็นหมอเทวดาเลย เพราะตนเป็นเพียงแค่ หมอธรรมดา เท่านั้น โดยตนได้เริ่มทดลองใช้สมุนไพรรักษาโรคมะเร็งมาตั้งแต่ ปี พ.ศ.2512 จนประสบความสำเร็จในปี พ.ศ.2520 และได้ลาออกจากราชการมาเพื่อรักษามะเร็งโดยเฉพาะ นายแพทย์สมหมาย ยังเปิดเผยว่า การรักษาเป็นแบบผสมผสาน ระหว่างยาสมุนไพรที่ทดลองศึกษามานาน ควบคู่กับยาแผนปัจจุบัน ซึ่งตัวยาประกอบด้วยสมุนไพร 8 อย่าง อาทิ แพงพวย ยอดพุทธรักษา เป็นต้น
ผมดีใจที่อีกหน่อยสูตรยา ของผม องค์การเภสัชจะนำไปผลิตและจำหน่ายให้คนไทย เพราะผมยกสูตรยานี้ให้องค์การเภสัชไปแล้ว แทนที่สูตรยาจะตายไปกับผม แต่ไม่แล้ว สมุนไพรนี้จะยังอยู่ จะมีคนรับไปต่อยอดจากผมอีกทีนายแพทย์สมหมาย กล่าว ซึ่งการรักษาจะเริ่มตั้งแต่การพูดคุย สอบถามอาการ โดยนายแพทย์สมหมาย ยอมรับว่า หากเป็นระยะเริ่มต้นก็มีโอกาสรักษาหาย บางรายอาการหนักจนเดินไม่ได้ ท้องบวม ก็คงหมดทางช่วยให้หาย อาจจะได้แค่ยืดเวลาชีวิตออกไป สำหรับค่ารักษาพยาบาลที่ ผ่านมานั้น หากเป็นการรักษาในโรงพยาบาลมีชื่อทั่วไป ค่ารักษาคงไม่น้อยกว่าหลักหมื่นหรือหลักแสน แต่สำหรับ นพ.สมหมาย กล่าวติดตลกไว้ว่า ใครนั่งรถเบนซ์มา ก็แพงหน่อย ใครไม่มีตังค์มา ก็ให้ฟรี (ยิ้ม)ก่อนจะขยายความเสริมว่า รักษามาเกือบ 40 ปี มีพอกินพอใช้

แต่สิ่งที่ได้มากกว่านั้น มันอยู่ที่ใจ ได้น้ำใจ ได้ทางความรู้สึก แค่นั้นพอแล้ว
 
 
สถานที่ตั้งคลีนิก : บ้านเลขที่ 931 ต.บางพุทรา อ.เมือง จ.สิงห์บุรี
————————————————-
 
นายแพทย์สมหมาย ทองประเสริฐ เป็นคนจังหวัดสิงห์บุรี เกิดเมื่อ ๒๗ ธันวาคม ๒๔๖๔ จบการศึกษาเภสัชศาสตรบัณฑิต จากจุฬาลง กรณ์มหาวิทยาลัย และจบแพทยศาสตรบัณฑิตเหรียญทอง จากโรงพยาบาลศิริราช  ในระหว่างศึกษาได้ทำงานในร้านขายยาเพื่อส่งเสียตัวเอง กระทั่งสำเร็จการศึกษาในปี 2494  เคยเป็นแพทย์ประตำตัว จอมพล ป.พิบูลสงคราม ประวัติการทำงาน ของ นายแพทย์สมหมาย ทองประเสริฐ
-
ปีแรกที่สำเร็จเภสัชศาสตร์บัณฑิต รับราชการเป็นอาจารย์อยู่คณะเภสัชศาสตร์ ๑ ปี แล้วกลับมาเรียนแพทย์ต่อที่ศิริราช
-
ทำงานที่สถานเสาวภา  สภาชาดไทย  ค้นคว้าวิจัยเกี่ยวกับ วัคซีน, เซรุ่ม 1 ปี

-
กลับมาเป็นแพทย์ประจำอยู่โรงพยาบาลศิริราชอีก ๓ ปี

-
รับราชการที่โรงพยาบาลตำรวจได้ ๘ เดือน

-
รับราชการในกรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข

-
พ.ศ. ๒๕๑๘ เลื่อนขึ้นเป็นนายแพทย์ใหญ่จังหวัดสิงห์บุรี

-
เปิดคลินิกรักษาโรงมะเร็ง จ.สิงห์บุรี (เชี่ยวชาญการใช้ยาสมุนไพรรักษาโรคมะเร็ง) ขอบคุณข้อมูลจาก เดลินิวส์,กรุงเทพธุรกิจ 

วันเสาร์ที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2553

ลีลาชีวิต

> ฉันเกิดในหมู่บ้านบนภูเขาที่ห่างไกลผู้คน
>
แต่ละวันพ่อแม่ของฉันต้องพรวนดินในไร่ท่ามกลางแดดที่ร้อนระอุ
>
ฉันมีน้องชายอยู่หนึ่งคน อายุน้อยกว่าฉัน 3 ปี
>
วันหนึ่งฉันขโมยเงินของพ่อเพื่อไปซื้อผ้าเช็ดหน้าที่เพื่อนๆ
>
ของฉันมีกัน จากนั้นพ่อก็รู้เรื่อง
>
พ่อให้ฉันกับน้องคุกเข่าหันหน้าเข้าหากำแพง
>
โดยที่ในมือพ่อมีก้านไม่ไผ่อยู่หนึ่งก้าน
> "
ใครขโมยเงินไป" พ่อตวาด
>
ฉันกลัวมาก ไม่กล้าพูดอะไรออกไป น้องชายฉันก็เช่นกัน
>
พ่อจึงเอ่ยขึ้นว่า "ก็ได้ ในเมื่อไม่มีคนรับสารภาพ
>
ก็ต้องโดนลงโทษทั้งคู่นั่นล่ะ"
>
พ่อชูก้านไม้ไผ่ในมือขึ้น
>
ทันใดนั้น น้องชายของฉันก็ลุกขึ้นคว้าข้อมือของพ่อไว้
>
แล้วพูดว่า "ผมขโมยเองครับ"
>
ก้านไม้ไผ่ก้านนั้นได้กระหน่ำลงบนหลังของน้องของฉันอย่าง
>
ต่อเนื่อง พ่อโกรธมาก พ่อตีน้องของฉันไม่หยุด
>
จนพ่อหอบด้วยความเหนื่อย
>
พ่อนั่งลงบนเก้าอี้ และด่าว่าน้องชายของฉัน
> "
ของคนในบ้านแกเอง แกยังขโมยได้ต่อไปแกจะทำชั่วอะไรอีก
>
แกน่าจะโดนตีให้ตาย ไอ้หัวขโมย"
>
คืนนั้น ฉันกับแม่กอดน้องชายของฉันไว้
>
หลังของน้องมีแผลเต็มไปหมด
>
แต่เขาไม่ได้ร้องไห้แม้แต่น้อย
>
กลางดึกคืนนั้น ฉันนอนร้องไห้เสียงดัง และนานมาก
>
น้องเอามือเล็กๆ ของเขามาปิดปากฉันไว้ แล้วพูดว่า
> "
พี่ครับ ไม่ต้องร้องไห้นะมันผ่านไปแล้ว"
>
ยังไงฉันก็อดที่จะเกลียดตัวเองไม่ได้
>
ที่ไม่มีความกล้าจะบอกความจริงกับพ่อ
>
หลายปีผ่านไป
>
แต่เหมือนกับว่าเหตุการณ์มันเพิ่งเกิดเมื่อวานนี้เอง
>
ฉันไม่อาจลืมคำพูดของน้องชายตอนที่เขาปกป้องฉันได้เลย
>
ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 8ปี ส่วนฉันอายุ 11ปี...
>
เมื่อตอนที่น้องชายของฉันใกล้จบ ม.ต้น
>
เขาได้รับการตอบรับจากโรงเรียน
>
ม.ปลาย ว่าเขาสอบได้ ในขณะที่ฉันซึ่งใกล้จบ ม.ปลาย
>
ก็ได้รับการตอบรับจากมหาวิทยาลัยของจังหวัดเช่นกัน
>
>
คืนนั้น พ่อได้นั่งสูบบุหรี่อยู่ที่สวนหลังบ้าน
>
ฉันแอบได้ยินพ่อพูดว่า " ลูกเราทั้งคู่เรียนดี เรียนดีมากนะ"
>
>
แม่ซึ่งนั่งเช็ดน้ำตาอยู่ข้างๆ พ่อ ได้พูดว่า
> "
แล้วเราจะส่งเสียลูกทั้งคู่ได้อย่างไร ในเมื่อเราก็ไม่ค่อยมีเงิน"
>
>
ทันใดนั้น น้องชายของฉันได้เดินเข้าไปหาพ่อ แล้วพูดว่า
> "
ผมไม่ต้องการเรียนต่อผมอ่านหนังสือมามากพอแล้ว"
>
>
พ่อเหวี่ยงมือตบลงที่แก้มของน้องของฉันฉาดใหญ่
> "
ทำไมถึงคิดโง่ๆ อย่างนี้
>
ต่อให้พ่อต้องไปเป็นขอทานข้างถนน
>
พ่อก็จะส่งแกทั้งคู่เรียนจนจบให้ได้"
>
>
คืนนั้นทั้งคืน พ่อได้เดินไปตามบ้านต่างๆ ทั่วทั้งหมู่บ้าน
>
เพื่อขอยืมเงิน
>
ฉันค่อยๆ เอามือประคบแก้มบวมๆ ของน้องชายเบาๆ และคิดว่า
> "
ต้องให้น้องได้เรียนต่อ
>
ไม่เช่นนั้นเขาคงไม่อาจหลุดพ้นชีวิตลำบากเช่นนี้ไปได้"
>
>
แต่ในขณะเดียวกัน
>
ฉันก็ไม่อาจล้มเลิกความคิดอยากจะเรียนต่อไปได้
>
ใครจะรู้ได้ ... วันต่อมาในตอนเช้ามืด
>
น้องชายของฉันได้ออกจากบ้านไปพร้อมทั้งเสื้อผ้าติดตัวเพียง
>
ไม่กี่ชิ้น
>
และถั่วเพียงเล็กน้อยเพื่อประทังความหิว
>
ก่อนไปเขาได้ทิ้งข้อความไว้ใต้หมอนของฉัน
>
ขณะฉันกำลังหลับ
> "
พี่ครับ การจะเข้ามหาวิทยาลัยได้ ไม่ใช่ง่ายๆ นะ ....
>
ผมจะไปหางานทำ
>
แล้วจะส่งเงินมาให้พี่"
>
>
ฉันนั่งอยู่บนเตียง
>
อ่านข้อความของน้องชายด้วยน้ำตานองหน้า ...
>
ฉันร้องไห้จนเสียงแหบแห้งไป
>
ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 17ปี ส่วนฉันอายุ 20ปี .
>
>
ด้วยเงินที่พ่อยืมมาจากคนในหมู่บ้าน

>
รวมกับเงินที่น้องชายของฉันได้รับเป็นค่าจ้างมาจากการทำงาน
>
เป็นกรรมกรแบกหามที่ ไซท์ก่อสร้าง ...
>
ฉันจึงสามารถเข้าเรียนมหาวิทยาลัยได้จนถึงปี 3
>
>
วันหนึ่งขณะที่ฉันกำลังอ่านหนังสืออยู่ในห้องพัก

>
เพื่อนร่วมห้องของฉันได้เข้ามาบอกว่า "มีชาวบ้านมาหาเธอ
>
อยู่ข้างนอกแน่ะ"
>
>
ทำไมชาวบ้านถึงมาหาฉันล่ะ ???
>
ฉันเดินออกไปแล้วมองเห็นน้องชายของฉันยืนอยู่

>
ตัวของเขาเปรอะเปื้อนไปด้วยฝุ่นปูนและทรายจากงาน
>
ก่อสร้าง ...
>
ฉันถามเขาว่า
> "
ทำไมไม่บอกเพื่อนพี่ไปว่าเป็นน้องชายพี่ล่ะ"
>
น้องชายของฉันตอบยิ้มๆ ว่า "ก็ดูผมสิ
>
สกปรกมอมแมมออกอย่างนี้
>
ขืนบอกว่าเป็นน้องพี่ เพื่อนๆ
>
ก้อได้หัวเราะเยาะพี่กันพอดี"
>
>
ฉันค่อยๆ เอื้อมมืออันสั่นเทาไปปัดฝุ่นให้น้อง
>
และพยายามพูดด้วยเสียงเครือๆในลำคอ
> "
พี่ไม่สนใจว่าใครจะพูดยังไง
>
เธอเป็นน้องของพี่ ไม่ว่าเธอจะดูเป็นอย่างไรก็ตาม"
>
>
จากนั้น น้องของฉันได้ล้วงบางอย่างออกมาจากกระเป๋ากางเกง
>
เป็นกิ๊บหนีบผมรูปผีเสื้อ . เขาติดกิ๊บให้ฉัน
>
แล้วพูดว่า
> "
ผมเห็นสาวๆ ในเมืองเค้าติดกัน ผมเลยอยากให้พี่ติดบ้าง"
>
>
ฉันหมดเรี่ยวแรงลงในทันใด
>
ดึงน้องชายเข้ามาสวมกอดและร้องไห้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าเป็นเวลานาน
>
ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 20 ปี ส่วนฉันอายุ 23 ปี .
>
>
วันที่ฉันพาแฟนหนุ่มของฉันมาที่บ้านเป็นครั้งแรก
>
ฉันสังเกตเห็นว่า
>
หน้าต่างบ้านที่เคยแตกไป ได้ถูกซ่อมเรียบร้อยแล้ว
>
เมื่อเข้าไปในบ้านก็เห็นว่าบ้านสะอาดขึ้นมาก
>
>
หลังจากที่แฟนของฉันกลับไป ฉันพูดกับแม่ว่า
> "
แม่ไม่ต้องเสียเงินเพื่อทำความสะอาดบ้านกับซ่อมกระจก
>
เพียงเพราะหนูจะพาแฟนมาที่บ้านหรอกนะคะ"
>
>
แม่ยิ้ม แล้วพูดว่า " แม่ไม่ได้จ้างหรอก
>
น้องชายลูกต่างหาก
>
วันนี้เค้าขอเลิกงานเร็วเพื่อกลับมาทำความสะอาดบ้าน
>
ลูกยังไม่เห็นมือน้องหรอกเหรอ
>
น้องโดนกระจกบาดตอนกำลังเปลี่ยนกระจกบานใหม่น่ะ"
>
>
ฉันรีบเข้าไปหาน้องที่ห้องนอนของเขา
>
ฉันรู้สึกเหมือนถูกเข็มนับร้อยเล่มทิ่มลงกลางใจเมื่อได้เห็นบาดแผลบนมือ
>
ฉันจับมือน้องเอาไว้อย่างเบามือที่สุด "เจ็บมากไหม"
>
ฉันถาม "ไม่เจ็บสักหน่อย พี่ก็รู้นี่ผมทำงานก่อสร้างนะ วันๆ
>
มีหินตกมาใส่เท้าผมเต็มไปหมด
>
แต่มันก็ไม่ได้ทำให้ผมคิดเลิกทำงานหรอกนะ
>
และ..."
>
น้องชายของฉันยังพูดไม่จบประโยค แต่ก็ต้องหยุดพูด
>
เพราะฉันหันหน้าหนีเขา
>
น้ำตาไหลอาบหน้าของฉันอีกครั้ง
>
ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 23 ปี ส่วนฉันอายุ 26 ปี...
>
>
หลังจากนั้น ฉันก็ได้แต่งงานและย้ายเข้าไปอยู่ในเมือง
>
หลายครั้งที่สามีของฉันชักชวนให้พ่อแม่ของฉันย้ายเข้า
>
มาอยู่ในเมืองด้วยกัน ...
>
แต่ท่านทั้งสองก็ปฏิเสธ

>
ท่านบอกว่า ท่านเคยย้ายออกจากหมู่บ้านครั้งหนึ่ง
>
แต่เมื่อออกไปแล้ว ท่านไม่รู้จะทำอะไรดี
>
จึงได้ย้ายกลับเข้ามาใช้ชีวิตในหมู่บ้านตามเดิม
>
น้องชายของฉันก็ไม่เห็นด้วยกับการที่จะให้เขา
>
และพ่อแม่ย้ายออกไป ...
>
เขาบอกกับฉันว่า

> "
พี่คอยอยู่ดูแลพ่อและแม่ของสามีพี่ทางนั้นเถอะ
>
ผมจะดูแลพ่อและแม่ทางนี้เอง"
>
สามีฉันได้ขึ้นเป็นประธานของบริษัทของครอบครัว
>
เราทั้งคู่อยากให้น้องชายของฉันเข้ามารับตำแหน่ง
>
ผู้จัดการบริษัท ...
>
แต่น้องชายของฉันก็ไม่รับตำแหน่งนี้

>
เขาขอเข้าทำงานในตำแหน่งพนักงานธรรมดา
>
>
วันหนึ่ง น้องชายของฉันต้องปีนบันไดขึ้นไปซ่อมสายเคเบิล
>
และตกลงมาเพราะโดนไฟดูด
>
เขาถูกรีบหามส่งโรงพยาบาล
>
ฉันและสามีรีบไปเยี่ยมเขาที่โรงพยาบาล
>
น้องชายของฉันขาหักต้องเข้าเฝือกที่ขา
> ...
ฉันโกรธมาก จึงตวาดน้องไปว่า
>
> "
ทำไมถึงไม่ยอมรับตำแหน่งผู้จัดการ หา!!!
>
ถ้าเป็นผู้จัดการก็จะได้ไม่ต้องมาทำงานเสี่ยงๆ อย่างนี้
>
ดูตัวเองซิ
>
เจ็บเจียนตายอยู่แล้ว ทำไมถึงไม่ยอมฟังพี่บ้าง"
>
>
คำตอบจากปากน้องของฉันรวมถึงสีหน้าเคร่งเครียด
>
ยังยืนยันความคิดเดิมของเขา
> "
พี่ลองคิดถึงพี่เขยสิครับ พี่เขยเพิ่งจะได้เป็นประธาน
>
ส่วนผมมันการศึกษาต่ำ
>
ถ้าผมได้เป็นผู้จัดการ
>
คงจะมีเสียงนินทาว่าร้ายเต็มไปหมด"
>
>
น้ำตาปริ่มดวงตาของฉันรวมทั้งสามีของฉันด้วย .
>
ฉันบอกกับน้องว่า
> "
แต่ที่เธอไม่ได้เรียนต่อก็เพราะพี่..."
>
> "
ทำไมต้องพูดถึงเรื่องที่ผ่านไปแล้วด้วยล่ะครับ"
>
น้องชายของฉันจับมือฉันไว้
>
ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 26ปี ส่วนฉันอายุ 29 ปี...
>
>
เมื่อน้องชายของฉันอายุได้ 30 ปี
>
เขาได้แต่งงานกับสาวชาวนาในหมู่บ้านเดียวกัน
>
>
ในงานแต่งงาน ประธานในงานได้ถามน้องชายของฉันว่า
> "
ใครคือคนที่คุณรักที่สุดในชีวิตนี้"
>
>
น้องชายของฉันตอบอย่างไม่ลังเล "พี่สาวของผมครับ" .
>
และเขาก็เล่าเรื่องราวที่แม้แต่ฉันยังจำไม่ได้
>
> "
ตอนผมอยู่โรงเรียนประถม โรงเรียนอยู่อีกหมู่บ้านหนึ่ง
>
เราสองคนพี่น้องต้องใช้เวลาถึง 2ชม. เพื่อเดินไปเรียน
>
และเดินกลับบ้าน
>
วันหนึ่งผมทำถุงมือหายไปข้างหนึ่ง
>
พี่สาวผมจึงได้ให้ถุงมือของเธอข้างหนึ่ง
>
และเธอก็ใส่ถุงมือเพียงข้างเดียวเดินเป็นระยะทางไกล
>
เมื่อเรากลับถึงบ้านมือเธอบวมแดงเพราะอากาศหนาว
>
เธอไม่สามารถจับช้อนทานข้าวได้ด้วยซ้ำ ... นับจากวันนั้น
>
>
ผมสาบานกับตัวเอง
>
ว่าตลอดชีวิตของผม ผมจะดูแลพี่สาวของผมให้ดี
>
และจะทำดีกับเธอ"
>
>
เสียงปรบมือดังกึกก้องไปทั่ว
>
สายตาทุกคู่ของแขกเหรื่อหันมาจับจ้องที่ฉัน
>
>
คำพูดจากปากฉันออกมาอย่างยากลำบาก ... "ในโลกใบนี้
>
คนเดียวที่ฉันรู้สึกขอบคุณที่สุด คือน้องชายของฉันค่ะ"
>
>
ในวาระที่มีความสุขที่สุดเช่นนี้
>
น้ำตาได้รินไหลออกมาจากสองตาของฉันอีกครั้ง...
>
>
จงรัก และห่วงใยคนที่คุณรักในทุกๆ
>
วันในชีวิตของคุณและเขา
>
คุณอาจจะคิดว่าสิ่งที่คุณทำให้ใครสักคนเป็นเพียงสิ่งเล็กๆ น้อยๆ
>
แต่สำหรับคนคนนั้นอาจจะมีความหมายมากอย่างคาดไม่ถึง
> ..
ไม่ว่าเขาคนนั้นจะคือ
>
>
พ่อ แม่ พี่ น้อง ญาติ คนรัก เพื่อน
>
หรือแม้คนที่คุณไม่รู้จัก ก็ตาม